ดินแดนเหนือฟ้า ใต้หล้านี้เพื่อเธอ
…The land before time…
“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือโลก ไม่มีวันขาดส่วนหนึ่งส่วนใดไปได้หรอก”
บทนำ
ตามตำนานเล่าว่า ก่อนมีโลกฟ้ากับดินไม่ได้แยกออกจากกัน ทั้งหมดรวมกันเป็นไข่ใบใหญ่ มียักษ์ผานกู่อยู่ในไข่ใบนั้น เขาเป็นผู้เบิกฟ้าแยกดิน ผานกู่อาศัยอยู่ในไข่ใบนี้เป็นเวลา18,000 ปี จึงตื่นขึ้น เมื่อเขาลืมตาขึ้น เห็นแต่ความมืดมัว และรู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หายใจไม่ค่อยออก ต่อมาเขาจึงเอาขวานที่ติดตัวมาจามเปลือกไข่ ได้ยินเสียงกึกก้อง เปลือกไข่แตกออกทันที สิ่งของข้างในที่เป็นของเบาก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นกลายเป็นท้องฟ้า และสิ่งที่หนักก็ค่อยๆจมลงและกลายเป็นแผ่นดิน ยักษ์ผานกู่เหน็ดเหนื่อยมาก จึงล้มลงขาดใจตาย และร่างของเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์ แต่ใครจะรู้บ้างว่า ภายในวินาทีที่ผานกู่สิ้นใจนั้น ทุกอย่างในร่างกายได้สะท้อนออกมาเป็นอีกมิติหนึ่งที่อยู่เหนือพื้นโลก นั่นคือ ดินแดนที่เรียกว่า “ดินแดนเหนือฟ้า”
“ดินแดนเหนือฟ้า” ประกอบด้วย 9 ดินแดนย่อย แต่ละดินแดนมีผู้ปกครองและความยิ่งใหญ่แตกต่างกันไป และถึงแม้ว่า “ดินแดนยื่อ” ดินแดนที่เกิดจากตาซ้ายของผานกู่จะยิ่งใหญ่ที่สุด แต่องค์ชายถิงยื่อก็รู้ตัวดีกว่า จริงๆแล้วภาระของตัวเองนั้นหนักแค่ไหน และอีก 8 ดินแดนไม่มีวันจะยอมอยู่ใต้อำนาจแบบนี้ตลอดไปหรอก เสด็จพ่อนั้นพร่ำสอนเค้ามาตั้งแต่เด็กจนปีนี้ อีกแค่สามเดือนก็จะถึงวันเกิดครบ 20 ของเขาแล้วว่าดินแดนของเรานี้ยิ่งใหญ่และกุมอำนาจไว้ทั้งหมดก็ตาม
บทที่ 1 วิหคเพลิง
ณ ห้องเรียนทายาท 9 ดินแดน
อาจารย์ไป๋ “องค์ชายและองค์หญิงทั้งหลาย ท่านทราบรึไม่ เหตุใดวิหคเพลิง จึงเป็นสัตว์วิเศษของดินแดนเหนือฟ้า?”
องค์ชายเทียนอวิ๋น “ นั่นสิท่านอาจารย์ ข้าล่ะสงสัยมานานแล้ว ดินแดนเหนือฟ้า เป็นดินแดนของพวกเรา เหตุใดสัตว์วิเศษถึงได้เหมือนดินแดนยื่อได้ แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย”
องค์หญิงหมี่ซิง “ ข้าว่านะ เทพหนี่วาห์ต้องลำเอียงเข้าข้างดินแดนยื่อแน่ๆ ถึงได้เสกให้สัตว์วิเศษเป็นวิหคเพลิง ไม่เคยเห็นดินแดนดาวของข้าอยู่ในสายตาเลย” องค์หญิงผู้ซึ่งได้ชื่อว่า สวยที่สุดในบรรดาหญิงสาวทั้งหมดในดินแดนเหนือฟ้า กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ
ท่ามกลางสายตาอาจารย์ ที่มองผ่านไปกับลูกศิษย์ตัวแสบที่ล้วนอยู่ในช่วงวัยที่ต้องสืบทอดภาระของแต่ละดินแดน พลันไปหยุดชะงักที่องค์ชายแห่งดินแดนเยว่ ผู้เกิดมาพร้อมในตากลมโตสีฟ้า ประหนึ่งพระจันทร์ที่สุกสว่างท่ามกลางความมืด
อาจารย์ไป๋ “องค์ชายเฟิงเยว่ ชื่อท่านก็สอดคล้องกับสัตว์วิเศษของดินแดนเรา ท่านมีความเห็นใดหรือไม่”
องค์ชายเฟิงเยว่ผู้ที่ปกติ ไม่ค่อยพูดมากเท่าไหร่ หากแต่สายตาที่เค้ามองทุกคน มันช่างเยือกเย็นและน่ากลัวมากจริงๆ
“ท่านอาจารย์ ท่านมาถามข้า ทำไมไม่ถามเจ้าของดินแดนใหญ่ ผู้ที่สามารถเลี้ยงดูและเข้าใจวิหคเพลิงได้ดีที่สุดล่ะ”
ว่าแล้วก็ส่งสายตาดุดันและเย็นชานั้นมาทางองค์ชายตัวใหญ่ทันที
...บางทีข้าก็ไม่เข้าใจนะ ข้าเกิดมาก็เป็นแบบนี้แล้ว รู้และเข้าใจวิหคเพลิงมากกว่าคนอื่นและทำได้อีกหลายๆอย่าง มันเป็นความผิดข้าด้วยหรือ ทำไมสายตาสีฟ้านั่น จะต้องจ้องมองข้าเหมือนจะทะลุเข้าไปในเสื้อผ้า โอ้ย!!! แต่ใครจะรู้แค่เห็นตาคู่นี้ที่ไร ไฟในตัวข้ามันจะเย็นและสงบขึ้นทุกครั้ง และเปลี่ยนเป็นหัวใจที่มักจะเต้นแรงทุกครั้งที่เขามอง…หลังจากถิงยื่อบ่นกับตัวเอง ก็พูดออกไปว่า
“เอ่อ เฟิงเยว่ เจ้าถามข้าแบบนี้ ข้าจะรู้มั้ยล่ะ ดินแดนเหนือฟ้าของเรา พอพวกเราเกิดมาก็มีนกวิหคเพลิงเป็นสัตว์วิเศษแล้ว ถึงข้าจะสื่อสารกับมันได้ แต่วิหคเพลิงก็ไม่เคยบอกกับข้านิว่า เหตุใดมันจึงเป็นสัตว์วิเศษที่คอยปกป้องดินแดนของพวกเรา
อาจารย์ไป๋ ท่านโปรดชี้แนะด้วยเถิด”
อาจารย์ไป๋ “อะไรกัน พวกท่าน เป็นถึงองค์ชายองค์หญิงกันทั้งหมด เหตุใดเรื่องแค่นี้ถึงตอบไม่ได้ เอาแบบนี้แล้วกัน ข้าให้พวกท่านเป็นการบ้าน วันพรุ่งนี้มาตอบด้วย ถ้าทั้งชั้น ไม่มีใครตอบถูก อย่ามาเรียกข้าว่าอาจารย์ไป๋จือฮวา”
พูดจบอาจารย์ไป๋ ผู้ที่รอบรู้ในทุกๆเรื่องก็หยิบตำรากองโตตรงหน้าแล้วออกไป...
พออาจารย์ออกไป น้องสาวตัวดีของข้าก็โพล่งขึ้นมาทันที
องค์หญิงน้อย เซียงยื่อ “โห!!! พี่ใหญ่อ่ะ อะไรกัน แค่นี้ทำไมไม่รู้ เสียแรงที่ข้าออกจะภูมิใจในตัวพี่ ว่าเก่งทุกอย่าง ดูสิขายหน้าเค้า เออ!!! พี่เฟิงเยว่ ข้าสงสัยมานานแล้วว่า ทำไม พี่ถึงชื่อเฟิงเยว่ ทั้งๆที่พี่ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับดินแดนของเราเลย จริงๆ คำว่าเฟิง ก็แปลว่าวิหคเพลิงได้ด้วยอ่ะ แล้วทำไมทีฟางเยว่ เพื่อนข้า ไม่เห็นจะมีอะไรที่เกี่ยวเลย หรือดินแดนเยว่ ตั้งใจให้ท่านอยู่ใต้ดินแดนเราตลอดไปเหมือนที่คนเค้าพูดกัน”
แค่ได้ยินประโยคนี้เท่านั้น คนตาสีฟ้า กำมือแน่นข้างลำตัว ทำไมนะ!!! ทำไมท่านพ่อท่านแม่ต้องตั้งชื่อนี้ให้ข้า ชื่ออื่นคำอื่นก็มีเยอะแยะ ทำไมต้องให้ข้าอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เด็กจนโต คอยดูเถอะ อีกแค่ปีเดียว!!! ปีเดียวเท่านั้น เมื่อข้าอายุ 20 ท่านพ่อจะยกอำนาจการปกครองทุกอย่างให้ข้า เมื่อนั้น ดินแดนยื่อและทุกๆคนจะได้รู้ว่า ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอแบบที่พวกเค้าคิด
“หยุดได้แล้วเซียงยื่อ เจ้านี่พูดจาไร้สาระ คำที่คนเค้าพูดกันก็ใช่ว่าจะจริงไปหมดทุกอย่าง คำว่าเฟิงอาจจะแปลว่าลมก็ได้ แม่ของเฟิงเฟิง ก็มาจากดินแดนอวิ๋นนี่นา ดินแดนนี้ก็เกิดจากลมหายใจของยักษ์ผานกู่ ก็ไม่แปลกหรอกถ้าเค้าจะชื่อเฟิงเยว่” องค์ชายถิงยื่อกล่าว
แล้วก็ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหนักแน่นของเค้า ความเย็นในตัวและตาที่สุกสว่างสีฟ้าจะค่อยหม่นลงนิดหน่อย กลายเป็นสีฟ้าอ่อน องค์ชายเฟิงเยว่คงไม่รู้ตัวหรอกว่า สีตาของตัวเองเปลี่ยนไปเมื่อความรู้สึกเปลี่ยน เพราะเค้าไม่เคยเห็นหน้าตัวเองเวลาที่เสียงใหญ่แต่ไพเราะนั่นพูดปกป้องเค้ามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
“อีกอย่างนะ ยัยน้องตัวแสบ เสด็จพ่อไม่เห็นเคยบอกพี่เรื่องนี้เลย เดี๋ยววันนี้พี่จะไปถาม แล้วจะรับอาสามาตอบแทนทุกคนเอง ดินแดนเราต้องรับผิดชอบต่อคำตอบและวันพรุ่งนี้ ข้าขอสัญญา ด้วยเกียรติขององค์ชายใหญ่ แห่งดินแดนยื่อ”
พูดจบ เค้าหันไปสบตาสีฟ้าคู่นั้นอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้ม เฟิงเยว่ กี่ครั้งแล้วนะ ที่สีตาของเจ้าที่ข้าเห็นมันเปลี่ยนเป็นฟ้าครามจนเข้มและฟ้าอ่อนในชั่วเวลาแค่แว๊บเดียว คนอื่นอาจไม่เคยสังเกต แต่ข้าเห็น…
หลังเลิกเรียนวันนั้นเหล่าองค์ชายและองค์หญิงจากทั้ง 9 ดินแดนต่างแยกกันไปพักที่เรือนรับรองของตัวเอง ที่นี่มีกฎเกณฑ์ชัด เมื่อใดที่อายุครบ 20 เมื่อนั้นจะเลิกเรียนและต้องไปหาความรู้จากชีวิตจริง เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง เค้าจะต้องปกครองดินแดนด้วยตัวเองกันทุกคน…
ในห้องแต่ละคนยามค่ำคืน ทุกคนจะสามารถฝึกถอดจิตและกลับไปยังดินแดนของตนเองเพื่อพูดคุยกับพีน้องพ่อแม่ของตนได้ แต่สำหรับองค์ชายถิงยื่อและองค์หญิงน้อยเซียงยื่อ ทั้งสองไม่เคยต้องทำเช่นนั้น เพราะที่นี่คือ โรงเรียนประจำของดินแดนเหนือฟ้าที่ฝึกสอนเฉพาะสำหรับเหล่าทายาทของดินแดนทั้ง 9 โดยเฉพาะ ตั้งอยู่ในเขตวังของดินแดนยื่อนั่นเอง ถิงยื่อจะเดินไปหาเสด็จพ่อเสด็จแม่เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครว่า ก็อย่างว่าแหละนะ ดินแดนยื่อทำอะไรไม่เคยผิด ข้อนี้เขารู้ดี เขาถึงได้รู้สึกตลอดมา ว่าดวงตาคู่นั้น แฝงความน้อยใจและต่อว่าเขาเอาไว้ ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีที่เรียนด้วยกันที่นี่
เย็นนั้นก่อนที่องค์ชายถิงยื่อจะเดินไปหาพ่อของตัวเองเพื่อหาคำตอบ เค้ายังเดินเล่นอยู่หน้าที่พัก เดินคิดไปมา โดยไม่ทันระวัง ก็ไปชนเข้ากับองค์ชายเฟิงเยว่ทันที แบบไม่รู้ตัวทั้งคู่
“เฟิงเฟิง ข้าขอโทษ ข้าคิดโน่นนี่เพลินไปหน่อย ไม่ทันได้มองเจ้า” ถิงยื่อรู้สึกผิดมากเมื่อเห็นตาสีฟ้านั้นแว่บเป็นสีน้ำเงินเข้ม เขาไม่พอใจอีกแล้ว เค้าคิดอยู่ในใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านไม่ได้ตั้งใจ ท่านหลีกทางให้ข้าสิ ข้าจะไปหอคัมภีร์”
“เจ้าจะไปหอคัมภีร์ทำไม นี่มันก็ใกล้ค่ำแล้ว เจ้าไม่ใช่คนดินแดนยื่อ เกิดเจอวิหคเพลิงบินไปมา มันจะทำอันตรายเจ้าได้”
“ข้าก็จะไปหาคำตอบที่ท่านอาจารย์ไป๋ถาม” พูดเสร็จเค้าไม่สนใจอีกต่อไป ว่าแล้วก็เดินผ่านถิงยื่อไป อย่างไม่ไยดี
ถิงยื่อควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นสายตาสีน้ำเงินครามนั่น ประกอบกับตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน เขาเคยช่วยเฟิงเยว่จากวิหคเพลิงรอดมาได้อย่างหวุดหวิดครั้งนึง นั่นเป็นประสบการณ์ที่เขาจะไม่มีวันลืม และไม่ให้มันเกิดขึ้นกับเฟิงเยว่อีก ซึ่งเค้าไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกอยากปกป้องดวงตาคู่นี้มันถึงได้รุนแรงขึ้นทุกวัน
“ข้าไม่ให้เจ้าไป เจ้าเชื่อข้า กลับไปที่ห้อง ท่องกลอนชมจันทร์ของเจ้าไป ข้าจะไปหาคำตอบให้จากเสด็จพ่อ ข้าก็พูดชัดแล้วไม่ใช่เหรอในห้องเรียนหน่ะ” ไม่ใช่แค่พูดอย่างเดียว ถิงยื่อยื่นมืออันแข็งแรงและใหญ่ประหนึ่งลิงยักษ์ไปจับข้อมือเล็กๆเท่าแมวน้อยของเฟิงเยว่ไว้ด้วย
“ท่าน ท่านจะมาห้ามข้าทำไม ท่านไม่ใช่เจ้าชีวิตข้า ท่านอย่าคิดว่าแค่จะได้ปกครองดินแดนต่อไป แล้วจะเอาดินแดนเยว่ไปได้ทั้งหมด ข้าไม่มีวันยอมหรอก”
เฟิงเยว่พยายามจะแกะมือของเขาออก แต่เจ้ากรรม มือข้างที่จับนี่มันทำไมทั้งใหญ่ทั้งหนักแบบนี้นะ แกะยังไงก็ไม่ออก
เขาไม่ยอมให้แกะหรอก ว่าแล้วก็ลากคนตัวเล็กๆ คนนี้ไปแบบถูลู่ถูกังเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมแต่โดยดี
“นี่วันหลังอ่ะ อย่ากินเยอะนักนะ เจ้าหน่ะ ชักจะอ้วนขึ้นแล้วนะรู้มั้ย จากตอน 5 ปีก่อนที่ข้าอุ้มเจ้า ตอนนั้นเจ้ายังไม่หนักเท่าตอนที่ข้าลากนี่เลย 555” พูดจบ เค้าหัวเราะอย่างมีความสุข การได้อยู่กับคนๆนี้ทำไมมันถึงมีความสุขแบบนี้นะ อยากจะแกล้ง อยากจะอุ้ม อยากจะกอด โอ้ย!!! นี่เอาดินแดนเหนือฟ้ามาแลกข้าก็ไม่ยอมทิ้งโมเม้นนี้แน่ๆ...
พอมาถึงห้องพักรับรองเรือนเยว่ เขาเคยเข้ามาครั้งนึงนานแล้วนะ แต่ให้ตายเหอะ!!! จะกี่ครั้งเขาก็ไม่ชินสักที ก็ข้างในมันหนาว หนาวมาก ไม่รู้คนในดินแดนนี้อยู่กันแบบเย็นๆได้ยังไงนะ ดีนะว่าเลือดในตัวเขาหน่ะเป็นธาตุร้อนของพระอาทิตย์ เขาจึงไม่รู้สึกหนาวมากเท่าคนดินแดนอื่น
ว่าแล้วเขาก็เหวี่ยงองค์ชายเฟิงเยว่ลงไปนั่งที่เตียง พร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง โดยไม่ยอมปล่อยมือที่จับนั้นออกแม้แต่นาทีเดียว แต่สิ่งที่เขาชมชอบคือ ตาสีน้ำเงินครามคู่นั้น ตอนนี้มันกลับเป็นสีฟ้าอ่อนแล้ว เขารู้สึกได้ ว่าความเย็นที่ตัวเฟิงเยว่ก็ลดลง นั่นคงเป็นเพราะเค้าจับมือแน่นมานานแล้วแน่ๆ
“ข้าไม่ให้เจ้าไปไหน ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็จะนั่งเฝ้าเจ้าอยู่นี่และจับมือไว้แบบนี้นี่แหละ ให้มันรู้กันไป”
“เจ้า เจ้าไม่ต้องไปหาองค์ราชาแล้วเหรอ” เขากล่าวด้วยเสียงอ่อยๆ เพราะรู้สึกสบายขึ้นเหมือนความร้อนในตัวเขามันส่งผ่านมาที่ตัวเอง กี่ปีแล้วที่เขาต้องหนาวในบางครั้ง เนื่องจากพลังของพระจันทร์ที่ซ่อนอยู่ในตัวเขามาตลอด มีครั้งนึงเมื่อ 5 ปีก่อนที่เขาจำได้ ตอนที่เขาไม่รู้เรื่องเท่าไหร่แล้วไปเจอวิหคเพลิงเข้า จนถิงยื่อมาช่วยไว้นั่นแหละ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นนี้ในชีวิต
“ข้าก็ถอดจิตไปสิ ไม่เห็นต้องไปเองเลย พวกเจ้าชอบว่าข้าเอาเปรียบ วันนี้ไง ข้าจะไม่ไปไหน ข้าจะทิ้งร่างไว้กับเจ้า แล้วจะถอดจิตไปคุยกับท่านพ่อ” ถิงยื่อรู้สึกชนะ เขาชอบเอาชนะ นี่เป็นนิสัยเขาจริงๆ วันนี้เขารู้สึกว่า เขาเป็นต่อ เขาสามารถควบคุมแมวน้อยที่สายตาต่อต้านเขาได้ มันมีความสุขจริงๆนะ…
“ไม่ๆๆ ข้าจะไม่ให้เจ้าทำแบบนี้ เจ้ากลับไปเถอะ ข้าไม่ไปไหนแล้ว ข้าอยู่ในนี้ก็ได้ ขอแค่เจ้ากลับไปแค่นั้น” เฟิงเยว่รู้สึกสบายนะ แต่เขาไม่อยากต้องพึ่งพาใคร โดยเฉพาะกับคนที่เขาคิดว่าเขาจะแพ้ เมื่ออยู่กับคนๆนี้นานมากขึ้น
“ไม่ ข้าไม่เชื่อเจ้า เอางี้นะ ข้าไปล่ะ อีกสักครึ่งชั่วยามข้าจะกลับมา ฝากเจ้าดูแลร่างข้าด้วย แต่บอกไว้เลย เจ้าก็รู้ว่าพอถอดจิต ร่างกายเราจะไม่ขยับอีก ดังนั้นมือนี้ ข้าจะจับเจ้าไว้แบบนี้อีกครึ่งชั่วยาม ข้าไปล่ะ” พูดเสร็จถิงยื่อก็เข้าสู่ฌานขั้นสูง ที่มีเฉพาะทายาท 9 ดินแดนเท่านั้นที่ทำได้ เขาวางใจเมื่อร่างเขาอยู่กับคนๆนี้ จริงๆนะ…
ห้องทั้งห้องเงียบสงัด เฟิงเยว่ไม่รู้ว่าควรทำไงดี สิ่งเดียวที่เขารู้สึกตอนนี้ คือเขากับร่างของถิงยื่อ มันเหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่ว่าร่างนี้ไม่มีจิตใจ ไม่มีคำพูด ไม่มีเสียงที่เขาชอบฟังอยู่ แต่ทำไมนะ..ว่าแล้วเขาก็เอามืออีกข้างลูบผมที่ยาวสลวยของอีกฝ่ายอย่างเบามือเหมือนกลัวมันจะขาด
ทำไมนะ!!! ทำไม!!! ทำไมเขาต้องชอบมองหน้าที่ได้รูปนี้ มองปากที่สวยงามจนน่าจะจูบนี้ นี่เขาคิดแบบนี้ได้ยังไง มันเป็นการลวนลามทางสายตานะเฟิงเยว่ แต่มือเขาไม่เชื่อฟัง เขาเอามือลูบที่ปากอย่างแผ่วเบาไปเรื่อยๆ เขาอยากจูบ!!! จริงๆนะ เขาคิด เขาไม่ควรทำแบบนี้แต่ร่างกายมันไม่ฟังคำสั่งเลย ตอนนี้ตาสีฟ้าแทบจะเป็นสีขาวสว่าง ใจเขาเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ห้ามไม่ได้ ทั้งๆที่มืออีกข้างยังคงถูกความร้อนจากมือใหญ่นั้นถ่ายเทมาให้ตลอด เขาบรรจงเอาปากไปประกบอย่างช้าๆ เหมือนกลัวว่าเจ้าของร่างจะรู้ตัวแล้วกลับมา เขาขออยู่แบบนี้สักครู่นะ สักครู่เดียวเท่านั้น แค่นี้เขาก็ไม่ขออะไรจากดินแดนเหนือฟ้าแห่งนี้แล้ว...
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น