อุปนิสัย-เงียบ สงบ เย็น ภูมิฐาน เป็นงานเป็นการ ความรู้แน่น
หลี่อี้เฟิง = ดาราดาวรุ่งสุดฮอตแห่งวงการ ถ่ายละครและหนัง คิวแน่นไม่หยุดหย่อน
อุปนิสัย-ร่าเริง กินเก่ง ชอบกินขนม ของหวาน ลูกอม เค้ก ไอติม
บทที่1 “Emergency case”
วันนี้เป็นวันถ่ายโฆษณารถฟอร์มูล่าวันครับ.....
จริงๆแล้วผมเป็นแบรนด์เอมบาสเดอร์ให้กับสิ่งของหลายแนว วันนี้จริงๆมันเป็นงานของนาฬิกาด้วย
นาฬิกา Tag Heuer เป็นนาฬิกาที่ให้ผมใส่ตลอด ผมก็ชอบนะ เป็นพรีเซนเตอร์แบบนี้ก็ได้ทำอะไรหลายอย่างแถมได้ของใช้ด้วย 555
อ้อ!!! ผมลืมแนะนำตัวไปครับ ผมหลี่อี้เฟิง เป็นดาราดาวรุ่งที่กำลังมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมมีความสุขเท่ากับการเป็นพรีเซนเตอร์หรือถ่ายโฆษณาของกินเลย 555 ทำไมหน่ะเหรอ ก็ของกินที่เอามาเข้าฉากมันมักจะอร่อย ถูกใจผม จนบางทีต้องขอทีมงานเอากลับบ้านไปกินด้วย
เอาล่ะครับ มาต่อกันที่งานโฆษณาวันนี้
ผมกำลังอยู่ในรถแข่งระดับโลก แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันอึดอัดครับ...
ผมรู้สึกว่าพักนี้ผมก็เริ่มจะอ้วนขึ้นบ้าง แต่ไม่เป็นไรนะ ก็ผมเหนื่อยนี่นา พอเหนื่อยก็ต้องกินเยอะเป็นธรรมดา จริงมั้ยครับ...
ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมมีความสุขนะ ที่ได้เห็นแฟนๆมาดูกัน
ผมชอบถูกถ่ายรูป ชอบอยู่หน้าแสงแฟลช มันทำให้ผมรู้สึกสำคัญ...
เอาล่ะตอนนี้เสร็จงานแล้ว ผมก็เข้ามาเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวเพื่อกลับไปพักที่คอนโด
“เฟิงเฟิง เสร็จรึยัง เปลี่ยนชุดแค่นี้ทำไมนานขนาดนี้ พี่จะได้พากลับบ้าน” เสียงผู้ดูแลและผจก.ส่วนตัวผมถาม
แต่ตอนนี้ผมเป็นไรไม่รู้ครับ จู่ๆมันก็รู้สึกปวดขึ้นมา เอ่อ ไม่ได้ปวดหนักหรือเบานะครับ...
ผมค่อยๆเอามือจับที่แก้มด้านขวา มันเหมือนจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกร้าวขึ้นไปที่หัว
ผมก็พยายามจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จ แต่ความปวดทำไมมันเพิ่มขึ้นจนผมจะน้ำตาไหลแล้วล่ะ
จริงๆก่อนหน้านี้ผมก็เคยปวดแบบนี้นะ แต่แป๊บๆมันก็หายไป แต่วันนี้มันไม่หาย นี่ผมก็รอว่าเมื่อไหร่มันจะหายปวด สงสัยต้องไปหายากินซะแล้ว...
“เอ่อ เจ๊เฉิน ผมรู้สึกปวดตรงนี้อ่ะครับ ในปาก สงสัยจะปวดฟัน”
“เอ้ย อะไรกัน จะมาปวดฟันอะไรตอนนี้ เอาไงดีล่ะ แถวนี้ก็ไม่ใช่ถิ่นพี่ซะด้วย เอางี้ เดี๋ยวพี่ถามสต๊าฟให้ว่าแถวนี้มีร้านหมอมั้ย ไปดูซะหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เดี๋ยวมาบวมแก้มโย้ ทำงานต่อไม่ได้จะแย่เอานะ”
หลังจากนั้นผมก็แทบจะต้องเอามือกุมที่แก้มขวาตลอดเวลาที่ออกมาจากงาน ผมกินยาแก้ปวดไปแล้วนะ มันก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ดี
เอาวะ!!!ไปให้หมอตรวจก่อน ผมก็หาหมอฟันประจำนะ แต่ว่าไม่ใช่แถวนี้ด้วยสิ แล้วหมอแถวนี้จะไว้ใจได้มั้ยเนี่ยะ
ตอนนี้รถตู้มาจอดที่คลินิกหนึ่ง สภาพหน้าร้านดูเป็นระเบียบและดูดีนะ ก็ค่อนข้างเรียบ ไม่ได้หรูหราอะไร
คลินิก "ถิงหยาฉือ" อะไรฟระ ชื่อคลินิกอะไรเนี่ยะ จะไหวป่ะ...
ตอนนี้ผมใส่แว่นตาดำเพื่ออำพรางใบหน้า ผมแค่กลัวมีคนมารุมผมตอนนี้ ผมไม่พร้อมที่จะยิ้มให้กับใคร ก็แหงแหละครับ ผมปวดฟันอยู่นะ
“ไป เฟิงเฟิง เข้าไปหาที่นี่กันก่อน ตรวจก่อนเบื้องต้นแล้วกันนะ พี่ถามแล้ว ที่นี่ดีที่สุดในย่านนี้แล้วล่ะ ไม่งั้นเราต้องไปกันอีกไกลเลย ดีขึ้นบ้างมั้ยล่ะตอนนี้”
“เจ๊เฉิน คลินิกนี้ดีแน่นะ ถิงหยาฉือ อะไรเนี่ยะ”
“พี่ถามมาแล้ว ที่นี่เค้าบอกว่าหมออาจจะดุไปนิด แต่ว่าจริงๆแล้วทำดีมากเลย ทุกคนพูดเหมือนกันหมด อีกอย่างเราก็แค่ตรวจก่อน พี่แค่ไม่อยากให้มันบวมหรือเป็นอะไรมาก พรุ่งนี้เรายังมีงานอีก”
หลังจากนั้นผมก็ใส่แว่นดำเดินตามเข้าไปในร้าน ภายในร้านขาวสะอาด มีกลิ่นแบบที่ร้านหมอทุกที่ต้องมี
ไม่รู้สิ ได้กลิ่นแบบนี้ทีไร ผมล่ะอยากจะเดินออกไปทุกที...แต่มันช่วยไม่ได้ ก็ตอนนี้มันยังปวดอยู่เลย
...ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว เหมือนร้านใกล้จะปิด เพราะเหมือนในร้านไม่มีคนเลย
คนที่เดินสวนออกไปคงเป็นคนไข้สินะ เค้าไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร
“สวัสดีครับ ได้นัดไว้หรือเปล่า พอดีวันนี้หมอจะปิดร้านเร็ว ถ้าไม่เร่งด่วนมากรบกวนมาใหม่วันพรุ่งนี้ได้ไหม”
ผมเห็นเค้าคุยกับผจก. ร้านนี้มีเคาร์เตอร์เป็นผู้ชายเหรอ แปลกดี แต่งตัวก็ดีนะ แถมใส่ผ้าปิดปากด้วย สงสัยคงจะกลัวเชื้อโรคมาก แต่ดูเหมือนผจก.จะต่อรองจนผมได้ตรวจจนได้
“โอเค งั้นแค่ตรวจดูเฉยๆใช่ไหมครับ ก็พอไหว งั้นเชิญคนไข้เข้ามาด้านในเลย เดี๋ยวหมอจะดูให้นะ ส่วนญาติให้รอด้านนอกนะครับ”
ผมเดินเข้าไป ภายในแบ่งเป็นสองห้องย่อย ผมเข้าห้องแรกที่ติดกับเคาร์เตอร์
มีเสียงล้างเครื่องมือและพูดคุยดังมาจากด้านหลังร้าน
ผมมองเข้าไปที่เตียงเชือด เอ้ย!!! มะใช่ เตียงนอนทำฟัน กลืนน้ำลายทีนึง
โอ้ย!!! ปวดฟันขึ้นมาเลย จำใจต้องเดินเข้าไปนั่งที่เตียงนั่น แต่แปลกนะ เคาร์เตอร์คนนั้นก็เดินมานั่งด้วยที่เก้าอี้เหมือนทำท่าจะตรวจผม
“คุณครับ ถอดแว่นด้วย แล้วพิงมา ผมจะได้ตรวจให้”
“แล้วหมอละครับ ผมขอหมอตรวจสิ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อย่างคุณ คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร?” ผมต้องขู่เค้าไปนิดนึงก่อน จะได้รู้ว่านี่เค้ากำลังจะตรวจดาราดังนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆเป็นแค่เจ้าหน้าที่ในร้านจะมาตรวจผมได้
“เอ๊ะ จะเป็นใครก็เหมือนกันครับ ช่วยถอดแว่นออกด้วย ไม่งั้นจะตรวจได้ยังไง”
“ก็ผมบอกแล้วว่า ขอให้หมอตรวจ แล้วผมก็ไม่ถอดจนกว่าคุณจะไปตามหมอมา”
“งั้นผมขอโทษนะครับ” ว่าแล้วเค้าก็ยื่นมือมาถอดแว่นผมออก เฮ้ย!!! ไอ้บ้านี่อะไร ถือวิสาสะอะไรมาทำแบบนี้
“ก็ผมนี่แหละครับหมอ ผมหมอเฉินเหว่ยถิง รบกวนคุณช่วยพิงมาด้วยครับ จะตรวจรึเปล่า”
อ้าว!!! นี่หมอเหรอ ก็ใครจะไปรู้ เห็นแต่งตัวดูดี แว่นก็ไม่ใส่ ปกติก็เห็นหมอใส่แว่นกันทั้งนั้น
ผมเลยจำใจต้องนอนพิงที่เตียงทำฟัน ที่ถูกปรับนอนลง ตอนนี้ผมสบตาคู่นี้ตรงหน้า
โอ้ย!!! นี่ผมเป็นอะไรหน่ะ ทำไมใจผมเต้นรัวเป็นกลองเลย ผมคงตื่นเต้นกับการตรวจฟันสินะ
อย่า......อย่าเพิ่งคิดอะไร สงบใจก่อน
“คุณครับ อ้าปากสิครับ ไม่งั้นหมอจะตรวจได้ยังไง ถ้าคุณมัวแต่จ้องหน้าหมอแบบนี้”
“นี่หมอ ไม่รู้จักผมจริงๆเหรอ?” เวลาแบบนี้ผมยังพูดอะไรออกไป จะบ้าหรือเปล่า หลี่อี้เฟิง
“ไม่รู้จักหรอกครับ คุณก็คือคนไข้คนนึง รบกวนคนไข้ อ้าปากด้วยนะครับ หมอจะได้ตรวจให้ แล้วตกลงนี่ปวดฟันจริงหรือเปล่าครับเนี่ยะ พูดได้ตลอดเวลา”
เฮ้ย!!! หมอนี่ยังไง ไม่รู้จักผม เป็นไปด้ายยยยยยย แล้วมาพูดจาแบบนี้ นี่มันหมอประเภทไหนเนี่ยะ
“คุณครับ อ้าปากหน่อย ผมจะรีบตรวจจะได้บอกว่าเป็นอะไร เห็นแฟนคุณบอกว่า กลัวคุณจะเป็นอะไรมาก แก้มบวม สารพัดเหตุผล ทำให้ผมต้องปิดร้านช้าเลย”
อะไรอีกเนี่ยะ เจ๊เฉิน ไม่ใช่แฟนผม อีตาหมอนี่ ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย ไปอยู่ไหนมาฟระ อ่ะๆ ตรวจๆจะได้จบๆไป
ตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ค่อยปวดแล้ว สงสัยฟันผมจะเป็นโรคกลัวหมอ 555
พอผมอ้าปาก หมอก็เอาเครื่องมือมาตรวจดูแล้วก็เอามือมาบีบที่เหงือกจนผมต้องบอกว่าเจ็บ
แต่ระหว่างนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรนะ ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากตัวหมอด้วยล่ะ รสนิยมดีไม่ใช่เล่นนะ...
เสร็จแล้วเก้าอี้ถูกปรับขึ้น หมอให้ผู้ช่วยพาผมไปเอ๊กซเรย์ และพอผมกลับมา หมอถอดผ้าปิดปากออกแล้ว ทำให้เห็นใบหน้าทั้งหมด อืม หล่อใช้ได้เลยล่ะ....
“คุณหลี่อี้เฟิง คุณมีฟันคุดนะ ดูเหมือนจะมีอยู่ซี่เดียว แล้วก็มีฟันผุเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่รีบด่วนอะไร แต่ฟันคุดนี่คุณควรเอาออกโดยเร็วนะ เพราะว่าตอนนี้รากมันก็ยาวเต็มที่แล้ว และดูเหมือนจะใกล้เส้นประสาทนิดหน่อย มันอาจทำได้ยาก ถ้าไม่ชำนาญพอ ผมอยากให้คุณนัดอีกทีว่าจะทำวันไหน เดี๋ยวลองไปดูตารางนัดด้านหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ผมจะให้ยาไปทานก่อนก็แล้วกัน โอเคมั้ย”
ระหว่างที่ผมนั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้ทำฟัน ผมแทบไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ ตอนนี้มันไม่ค่อยปวดมากแล้วล่ะ ผมได้แต่มองปากได้รูปของหมอที่พูดๆ อธิบายแล้วก็ชี้ไปที่ฟิล์มใหญ่นั่นให้ผมฟัง
ผมรู้แต่ว่าผมคงต้องนัดมาใหม่ พอหมอพูดจบ ผมกำลังจะลุกขึ้น.....
แต่แล้วมันก็หวิว ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย มัวแต่ปวดฟันจนลืมไปหมด วันนี้ก็โดนแต่แดดร้อนๆ
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงลำแขนแข็งแรงก็เข้ามาโอบล้อมตัวผมไว้ ผมรู้สึกดีจัง
“คุณหลี่ครับ เป็นอะไรรึเปล่า หน้าคุณซีดมาก นั่งก่อนนะ”
เสร็จแล้วผมก็ต้องกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ทำฟันอีกรอบ คราวนี้เจ๊เฉินได้ยินเสียงดังมั้ง เลยเดินเข้ามา พร้อมกับร้องโวยวาย ผมยังหลับตาอยู่ได้ยินหมอพูดว่า
“เอางี้แล้วกันนะครับ นั่งพักก่อน แล้วก็คุณไปนัดเวลากับผู้ช่วยผมด้านนอก ถ้าคนไข้จะผ่าฟันคุดที่นี่ ส่วนคุณหลี่ผมจะดูแลให้ก่อน ไม่เป็นไรนะครับ คงแค่หน้ามืดเฉยๆ”
เสร็จแล้วหมอก็เอาแอมโมเนียชุบสำลีมาให้ผม แล้วก็กระซิบข้างหูผมว่า “คุณคิดจะอ่อยหมอหรือไง แผนนี้น่ารักไม่ใช่เล่นนะ”
เอ้ย!!! อะไรกันไอ้หมอนี่ ผมไม่ได้อ่อย ผมหิวข้าว ผมจะเป็นลม แต่ดูเหมือนผมกับเขาจะมีอะไรบางอย่างที่รู้สึกถึงกันได้นะ
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมองหน้าหมอ
“หมอหลงตัวเองชะมัด!!!”
ผมพูดแค่นี้ หมอก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ไอ้ท่าทางขรึมๆก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมด ไหนเค้าบอกว่าหมอคนนี้ดุไง
เสร็จแล้วเจ๊เฉินก็วิ่งกลับเข้ามา “เฟิงเฟิง จะผ่าที่นี่หรือจะกลับไปผ่าที่คลินิกประจำที่ปักกิ่ง แต่เรายังต้องอยู่เซียงไฮ้อีกหลายวัน แล้วอีกอย่าง อีกสองวันก็มีคิวว่างด้วย หลังจากนั้นเผื่อเราอยากพัก ตารางมันจะไม่แน่นมากแล้ว
ว่าไงแต่ถ้ากลับปักกิ่งก็ได้นะ พี่จะพยายามหาวันให้”
“ไม่เป็นไรเจ๊ ผมจะผ่าที่นี่ ไหนๆหมอคนนี้ก็ไม่รู้จักผม เค้าก็คงไม่เอาผมไปขายนักข่าว”
“โอเค ตามนั้น”
ผมหันกลับมามองหน้าหมอ ที่กลับมาทำหน้านิ่งตอนเจ๊เฉินวิ่งเข้ามา
เอ๊ะ!!!พออยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นวางมาดนะ
“อีก 2 วันเจอกันนะ คุณหลี่อี้เฟิง คุณเป็นเคสฉุกเฉินที่น่าสนใจจริงๆ”
อะไรกัน!!! อีก 2 วัน ผมหลี่อี้เฟิง ดาราดังที่ต้องผ่าฟันคุดกะหมอหน้าหล่อที่ดูเจ้าเล่ห์คนนี้ จะเป็นยังไงกันนะ...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น