…The land before time…
“ร่างกายและโลกต้องมีสมดุล หากไม่มีตรงกลาง ทุกอย่างล้วนเอนเอียง”
บทที่ 2 ดินแดนมู่
ณ ห้องอ่านหนังสือเขตวังดินแดนยื่อ
ภายในห้องนี้มีหนังสือต่างๆมากมายเรียงรายบนชั้นอย่างเป็นระเบียบ แยกหมวดหมู่ไว้อย่างดี เรียงตามลำดับอักษรเซี่ย ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วทั้งดินแดนเหนือฟ้า บางตู้มีมัดกระดาษ เรียงรายเป็นกองสูง หากแต่ก็ยังเป็นระเบียบ ไม่มีส่วนไหนของห้องที่ไม่เรียบร้อย หรือมีฝุ่นจับเลยสักนิด แสดงให้เห็นว่าได้รับการดูแลอย่างดี แสงไฟจากตะเกียงภายในห้องนี้สว่างมาก
เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าช่วงหัวค่ำองค์ราชาแห่งดินแดนยื่อจะต้องมาทำงาน ตรวจเอกสาร ข้อร้องเรียนต่างๆที่เหล่าขุนนางเอามายื่นไว้ ทหารองครักษ์ไม่ต่ำกว่า 10 คน ยืนประจำตำแหน่งด้านหน้าห้อง และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าเมื่อเวลาทรงงาน จะไม่ยอมให้ใครเข้ามาอยู่ด้วย นอกจากราชินีแสนสวย ผู้มาจากดินแดนอวิ๋น ที่พระองค์ประสงค์ให้มานั่งเป็นเพื่อนซึ่งราชินีก็เต็มใจและมีความสุขอย่างมากที่จะมานั่งเย็บผ้า ทำงานฝีมือที่โต๊ะเล็กๆ ด้านข้าง ที่เป็นพื้นที่เฉพาะให้นางได้ทำงานแม่บ้านที่นางรัก…
วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกๆวัน หากแต่บนพรมที่มีงานปักผ้าหลายชิ้นวางอยู่ โดยราชินีกำลังปักผ้ารูปดอกท้อ ที่เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ดินแดนแม่ของตน ขณะเดียวกันองค์หญิงเซียงยื่อก็นอนเล่นอยู่ที่ตักของราชินีและกำลังชื่นชมผลงานที่นางได้มาลองหัดปักผ้าด้วย ทันใดนั้น เสียงคล้ายประทัดเล็กๆ ดังขึ้น 1 ครั้งพร้อมกับควันลอยขึ้น ทุกคนทราบได้ทันทีว่าองค์ชายถิงยื่อได้ถอดจิตมาเยือนแล้ว…
องค์หญิงเซียงยื่อ ” ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรเนี่ยะ ท่านจะถอดจิตมาทำไม ทำไมไม่มาทั้งตัว ประหลาดดีแท้”
องค์ชายถิงยื่อ “ยัยน้องตัวแสบ เจ้าก็มานี่ด้วยรึ ถวายบังคมท่านพ่อ ท่านแม่”
องค์หญิงเซียงยื่อ “อะไร ข้าก็มาแบบนี้เกือบทุกวัน ท่านต่างหากที่ไปโน่นไปนี่ ทำตัวลับๆล่อๆนะพักนี้ ไปเลี้ยงวิหคเพลิงบ้าง ไปฝึกกระบี่บ้าง ไม่เห็นจะกลับบ้านเลย”
องค์ชายถิงยื่อ “เจ้าหยุดพูดได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องฝึกฝน ข้าไม่ใช่เจ้านะ จะได้มีเวลาเล่นหรือทำอะไรไร้สาระ”
องค์ราชา”ดีแล้ว ถิงถิง พ่อก็หวังว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเจ้าจะพร้อมสืบทอด พ่อจะได้ออกท่องเที่ยวกับแม่เจ้าได้อย่างหมดห่วง ว่าแต่วันนี้ถอดจิตมานี่มีเรื่องอันใด อ้อ คงเป็นเรื่องที่น้องเจ้าเล่า เรื่องที่อาจารย์ไป๋ถามเกี่ยวกับวิหคเพลิงใช่มั้ย?”
องค์ชายถิงยื่อ “ใช่ครับ ท่านพ่อ ข้าไม่ทราบจริงๆ ข้าแย่มาก ทั้งๆที่ข้าก็เลี้ยงวิหคเพลิงอยู่เกือบทุกวัน”
องค์ราชินี “ถิงถิง มานี่มา มาให้แม่กอดหน่อย แม่ไม่เจอเจ้าเกือบเดือนแล้วนะ ดีว่าเซียงเซียงมาเล่าเรื่องเจ้าให้แม่ฟังตลอด แม่เลยคิดว่าเจ้าคงสบายดี”
องค์ชายถิงยื่อไม่รอช้า เข้าโอบกอดผู้หญิงที่เขารักที่สุด “ท่านแม่ ลูกคิดถึงท่านมาก คิดถึงขนมอร่อยๆ คิดถึงเพลงที่ท่านร้อง ข้าว่านะ เทียนอวิ๋นอ่ะ ยังร้องเพลงเพราะสู้ท่านไม่ได้เลย ไหนเค้าบอกว่าคนดินแดนนี้เสียงดีทุกคนไงล่ะ”
“ท่านไม่เคยไปฟังพี่เทียนอวิ๋นร้องแบบเพราะๆต่างหากล่ะ บางเพลงนะ ข้าว่าท่านแม่ยังสู้ไม่ได้เลย” องค์หญิงเซียงยื่อเถียง
องค์ราชินี “เอาล่ะ เจ้ามาถามความจากท่านพ่อ จริงๆท่านพ่อก็เตรียมคำตอบให้เจ้าแล้วนะ ไม่สิ ท่านรู้ดี เพราะเรื่องนี้มีแต่ราชาแห่งดินแดนทั้ง 9 เท่านั้นที่รับรู้ถึงความจริงทั้งหมด”
“ถิงถิง เจ้าฟังนะ วิหคเพลิงไม่ใช่ว่ามีความผูกพันหรือเป็นตัวแทนเฉพาะดินแดนของเรา มันคือตัวแทนของดินแดนทั้ง 9 ที่รวมกันเป็นดินแดนเหนือฟ้า
ไหนเจ้าบอกมาสิว่าตอนนี้เรามีวิหคเพลิงอยู่กี่ตัว” องค์ราชาอธิบายพร้อมตั้งคำถาม
องค์ชายถิงยื่อ ”ทั้งหมด 9 ตัวครับ และตอนนี้เจ้าจิ่วก็ตั้งท้องลูกของมัน ทำให้อีกปีข้างหน้า เราจะมีวิหคเพลิงทั้งหมด 10 ตัว แต่ข้าก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับดินแดนอื่นยังไงเลยนะท่านพ่อ”
“เจ้าผิดแล้วถิงถิง ตั้งแต่เกิดมา วิหคเพลิงตัวแรกคือเจ้ายี่มันไปวางไข่ลูกของมันที่ดินแดนมู่ ดินแดนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ นั่นคือที่ให้กำเนิดนกวิหคเพลิง และต่อมาเจ้ายี่ก็ตายลงและกลับมาเกิดใหม่ที่ดินแดนดาว ทุกๆครั้งที่ตัวต่อไปให้กำเนิดลูก ตัวที่เหลือจะต้องตายแล้วเกิดใหม่ วนดินแดนไปเรื่อยๆ
วันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกๆวัน หากแต่บนพรมที่มีงานปักผ้าหลายชิ้นวางอยู่ โดยราชินีกำลังปักผ้ารูปดอกท้อ ที่เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ดินแดนแม่ของตน ขณะเดียวกันองค์หญิงเซียงยื่อก็นอนเล่นอยู่ที่ตักของราชินีและกำลังชื่นชมผลงานที่นางได้มาลองหัดปักผ้าด้วย ทันใดนั้น เสียงคล้ายประทัดเล็กๆ ดังขึ้น 1 ครั้งพร้อมกับควันลอยขึ้น ทุกคนทราบได้ทันทีว่าองค์ชายถิงยื่อได้ถอดจิตมาเยือนแล้ว…
องค์หญิงเซียงยื่อ ” ท่านพี่ ท่านเป็นอะไรเนี่ยะ ท่านจะถอดจิตมาทำไม ทำไมไม่มาทั้งตัว ประหลาดดีแท้”
องค์ชายถิงยื่อ “ยัยน้องตัวแสบ เจ้าก็มานี่ด้วยรึ ถวายบังคมท่านพ่อ ท่านแม่”
องค์หญิงเซียงยื่อ “อะไร ข้าก็มาแบบนี้เกือบทุกวัน ท่านต่างหากที่ไปโน่นไปนี่ ทำตัวลับๆล่อๆนะพักนี้ ไปเลี้ยงวิหคเพลิงบ้าง ไปฝึกกระบี่บ้าง ไม่เห็นจะกลับบ้านเลย”
องค์ชายถิงยื่อ “เจ้าหยุดพูดได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องฝึกฝน ข้าไม่ใช่เจ้านะ จะได้มีเวลาเล่นหรือทำอะไรไร้สาระ”
องค์ราชา”ดีแล้ว ถิงถิง พ่อก็หวังว่า อีก 3 เดือนข้างหน้าเจ้าจะพร้อมสืบทอด พ่อจะได้ออกท่องเที่ยวกับแม่เจ้าได้อย่างหมดห่วง ว่าแต่วันนี้ถอดจิตมานี่มีเรื่องอันใด อ้อ คงเป็นเรื่องที่น้องเจ้าเล่า เรื่องที่อาจารย์ไป๋ถามเกี่ยวกับวิหคเพลิงใช่มั้ย?”
องค์ชายถิงยื่อ “ใช่ครับ ท่านพ่อ ข้าไม่ทราบจริงๆ ข้าแย่มาก ทั้งๆที่ข้าก็เลี้ยงวิหคเพลิงอยู่เกือบทุกวัน”
องค์ราชินี “ถิงถิง มานี่มา มาให้แม่กอดหน่อย แม่ไม่เจอเจ้าเกือบเดือนแล้วนะ ดีว่าเซียงเซียงมาเล่าเรื่องเจ้าให้แม่ฟังตลอด แม่เลยคิดว่าเจ้าคงสบายดี”
องค์ชายถิงยื่อไม่รอช้า เข้าโอบกอดผู้หญิงที่เขารักที่สุด “ท่านแม่ ลูกคิดถึงท่านมาก คิดถึงขนมอร่อยๆ คิดถึงเพลงที่ท่านร้อง ข้าว่านะ เทียนอวิ๋นอ่ะ ยังร้องเพลงเพราะสู้ท่านไม่ได้เลย ไหนเค้าบอกว่าคนดินแดนนี้เสียงดีทุกคนไงล่ะ”
“ท่านไม่เคยไปฟังพี่เทียนอวิ๋นร้องแบบเพราะๆต่างหากล่ะ บางเพลงนะ ข้าว่าท่านแม่ยังสู้ไม่ได้เลย” องค์หญิงเซียงยื่อเถียง
องค์ราชินี “เอาล่ะ เจ้ามาถามความจากท่านพ่อ จริงๆท่านพ่อก็เตรียมคำตอบให้เจ้าแล้วนะ ไม่สิ ท่านรู้ดี เพราะเรื่องนี้มีแต่ราชาแห่งดินแดนทั้ง 9 เท่านั้นที่รับรู้ถึงความจริงทั้งหมด”
“ถิงถิง เจ้าฟังนะ วิหคเพลิงไม่ใช่ว่ามีความผูกพันหรือเป็นตัวแทนเฉพาะดินแดนของเรา มันคือตัวแทนของดินแดนทั้ง 9 ที่รวมกันเป็นดินแดนเหนือฟ้า
ไหนเจ้าบอกมาสิว่าตอนนี้เรามีวิหคเพลิงอยู่กี่ตัว” องค์ราชาอธิบายพร้อมตั้งคำถาม
องค์ชายถิงยื่อ ”ทั้งหมด 9 ตัวครับ และตอนนี้เจ้าจิ่วก็ตั้งท้องลูกของมัน ทำให้อีกปีข้างหน้า เราจะมีวิหคเพลิงทั้งหมด 10 ตัว แต่ข้าก็ยังไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับดินแดนอื่นยังไงเลยนะท่านพ่อ”
“เจ้าผิดแล้วถิงถิง ตั้งแต่เกิดมา วิหคเพลิงตัวแรกคือเจ้ายี่มันไปวางไข่ลูกของมันที่ดินแดนมู่ ดินแดนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ นั่นคือที่ให้กำเนิดนกวิหคเพลิง และต่อมาเจ้ายี่ก็ตายลงและกลับมาเกิดใหม่ที่ดินแดนดาว ทุกๆครั้งที่ตัวต่อไปให้กำเนิดลูก ตัวที่เหลือจะต้องตายแล้วเกิดใหม่ วนดินแดนไปเรื่อยๆ
เจ้าไม่เคยรู้เพราะช่วงชีวิตของวิหคเพลิงจะอยู่ได้ถึง 100 ปีกว่าจะให้กำเนิดลูก 1 ตัว ดังนั้นปีนี้เจ้ายี่จะต้องวนไปที่ดินแดนมู่อีกครั้ง พร้อมอายุที่ครบ 900 ปีพอดี ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อใดก็ตามวิหคเพลิงวนครบดินแดนทั้ง 9 เมื่อนั้น ดินแดนหนึ่งจะพินาศ ความหายนะจะมาเยือน” องค์ราชาเล่าอย่างละเอียด
องค์ชายถิงถิงนิ่งไปกับคำพูดสุดท้ายที่องค์ราชาตรัส เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดินแดนเหนือฟ้ามีคำทำนายแบบนี้ มีแต่คนพูดว่าที่วิหคเพลิงเป็นสัตว์เทพนั่นก็เพราะเป็นความยิ่งใหญ่ของพลังแห่งเพลิงที่เหมือนกับดินแดนยื่อ ทำให้เขาคิดมาตลอดว่าดินแดนยื่อจะต้องไม่มีวันล่มสลายเพราะมีสัตว์วิเศษขนาดนี้อยู่ในมือ เขาจึงร้อนใจเอ่ยถามความลับนี้
“ท่านพ่อเหตุใดอาจารย์ไป๋ไม่สอน แล้วเหตุใดท่านพ่อ หรือท่านแม่ไม่เคยบอกข้า”
องค์ราชา “ความลับนี้ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น มีผิดเพี้ยนไปตามกาลเวลา หลายครั้งที่พ่อไม่มั่นใจว่าตอนนี้ชาวบ้านพูดผิดกันไปแค่ไหน แต่เมื่อพ่อได้สื่อสารกับเจ้ายี่ มันก็เตือนพ่อแบบเดิมทุกครั้ง พ่อไม่รู้ว่าอาจารย์ไป๋ต้องการอะไรถึงถามเจ้าเช่นนี้ เพราะถึงยังไง อาจารย์ไป๋ก็ไม่ใช่คนดินแดนยื่อ เค้าไม่สามารถสื่อสารกับวิหคเพลิงได้แน่นอน”
คำพูดขององค์ราชายังคงดังก้องในหัวเขา “ดินแดนหนึ่งจะพินาศ ความหายนะจะมาเยือน” ตอนนี้เขากลับเข้าร่างแล้ว แต่เขายังไม่ได้ลืมตาขึ้นเพราะยังคงมีความคิดติดค้างอยู่ แต่เอ๊ะ!!! อะไร ทำไม!!! ทำไมปากเขาถึงได้เย็นเจี๊ยบแบบนี้ล่ะ เขารู้สึกว่ามันเย็นมาก เลยลืมตาขึ้น
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า คือเฟิงเยว่ นอนอยู่ภายในผ้าห่ม มือหนึ่งลอดออกมาเพราะมือเขายังคงจับอยู่ เขามองหน้าขาวใส อวบอูมที่อยู่ตรงหน้า มันช่างน่ารักจิ้มลิ้มซะนี่กระไร เขาว่ามันก็ไม่ได้นานนะ แต่ทำไมเจ้าลูกแมวน้อยนี่ถึงได้หลับได้น่ารักขนาดนี้
ว่าแล้วเขาก็ปล่อยมือเล็กๆนั่นแล้วเอาสอดเข้าไปในผ้าห่ม อย่างแผ่วเบา พร้อมกับมองหน้านี้ชัดๆ โอ้ย!!! ทนไม่ไหวแล้วนะ เขาทนเห็นแก้มนี้โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงก้มลงและหอมแก้มนั้นอย่างเบาที่สุด โดยที่ไม่อยากให้คนตาฟ้าตรงหน้าตื่นขึ้นมาทำตาเขียวใส่ 555 แก้มนี่ช่างนุ่มเสียกระไร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะไล่จากแก้มมาที่ปาก คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาสู่ปากเขา แต่เขาไม่สะทกสะท้าน
องค์ชายถิงถิงนิ่งไปกับคำพูดสุดท้ายที่องค์ราชาตรัส เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดินแดนเหนือฟ้ามีคำทำนายแบบนี้ มีแต่คนพูดว่าที่วิหคเพลิงเป็นสัตว์เทพนั่นก็เพราะเป็นความยิ่งใหญ่ของพลังแห่งเพลิงที่เหมือนกับดินแดนยื่อ ทำให้เขาคิดมาตลอดว่าดินแดนยื่อจะต้องไม่มีวันล่มสลายเพราะมีสัตว์วิเศษขนาดนี้อยู่ในมือ เขาจึงร้อนใจเอ่ยถามความลับนี้
“ท่านพ่อเหตุใดอาจารย์ไป๋ไม่สอน แล้วเหตุใดท่านพ่อ หรือท่านแม่ไม่เคยบอกข้า”
องค์ราชา “ความลับนี้ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่น มีผิดเพี้ยนไปตามกาลเวลา หลายครั้งที่พ่อไม่มั่นใจว่าตอนนี้ชาวบ้านพูดผิดกันไปแค่ไหน แต่เมื่อพ่อได้สื่อสารกับเจ้ายี่ มันก็เตือนพ่อแบบเดิมทุกครั้ง พ่อไม่รู้ว่าอาจารย์ไป๋ต้องการอะไรถึงถามเจ้าเช่นนี้ เพราะถึงยังไง อาจารย์ไป๋ก็ไม่ใช่คนดินแดนยื่อ เค้าไม่สามารถสื่อสารกับวิหคเพลิงได้แน่นอน”
คำพูดขององค์ราชายังคงดังก้องในหัวเขา “ดินแดนหนึ่งจะพินาศ ความหายนะจะมาเยือน” ตอนนี้เขากลับเข้าร่างแล้ว แต่เขายังไม่ได้ลืมตาขึ้นเพราะยังคงมีความคิดติดค้างอยู่ แต่เอ๊ะ!!! อะไร ทำไม!!! ทำไมปากเขาถึงได้เย็นเจี๊ยบแบบนี้ล่ะ เขารู้สึกว่ามันเย็นมาก เลยลืมตาขึ้น
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้า คือเฟิงเยว่ นอนอยู่ภายในผ้าห่ม มือหนึ่งลอดออกมาเพราะมือเขายังคงจับอยู่ เขามองหน้าขาวใส อวบอูมที่อยู่ตรงหน้า มันช่างน่ารักจิ้มลิ้มซะนี่กระไร เขาว่ามันก็ไม่ได้นานนะ แต่ทำไมเจ้าลูกแมวน้อยนี่ถึงได้หลับได้น่ารักขนาดนี้
ว่าแล้วเขาก็ปล่อยมือเล็กๆนั่นแล้วเอาสอดเข้าไปในผ้าห่ม อย่างแผ่วเบา พร้อมกับมองหน้านี้ชัดๆ โอ้ย!!! ทนไม่ไหวแล้วนะ เขาทนเห็นแก้มนี้โดยไม่ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงก้มลงและหอมแก้มนั้นอย่างเบาที่สุด โดยที่ไม่อยากให้คนตาฟ้าตรงหน้าตื่นขึ้นมาทำตาเขียวใส่ 555 แก้มนี่ช่างนุ่มเสียกระไร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะไล่จากแก้มมาที่ปาก คราวนี้เขารู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาสู่ปากเขา แต่เขาไม่สะทกสะท้าน
ไม่ใช่แค่ปากอย่างเดียวที่เขาจะขอ คราวนี้เขาขอลิ้มรสความหวานจากด้านในของปากบางๆนี้บ้างเถอะ เขาไม่สนใจอะไรแล้ว แม้เฟิงเยว่ตื่นเขาก็จะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้ไปแน่ๆ...ลิ้นของเขาเริ่มซุกซนเข้าไปกวนลิ้นด้านในปากบาง วนเล่นไปมาเหมือนปลายลิ้นจะตวัดเล่นในนั้นประหนึ่งต้องการรสหวาน จนคนที่นอนอยู่รู้สึกตัวจนได้
องค์ชายตาฟ้าถลึงตาขึ้น สบตาคู่คมที่จ้องอยู่ตรงหน้า
เขาเอามือที่อยู่ใต้ผ้าห่มพยายามต่อสู้และดันหน้าอกอันแข็งแรงนั่นให้ออกจากตัว แต่อย่างที่เป็นมาตลอด ไม่ว่าจะดันเท่าไหร่ ร่างอันใหญ่โตของลิงยักษ์ตรงหน้า ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย…
แต่แปลกนะ!!! องค์ชายถิงยื่อคิดในใจ ทำไมตาเฟิงเฟิงไม่เปลี่ยนสีล่ะ เขาคิดว่าตาคู่นี้ต้องเป็นสีน้ำเงินเข้มครามสิ หรือไม่ก็ควรดำไปเลยนะ แต่นี่ไม่สิ มันเป็นฟ้าอ่อนอยู่ แล้วก็แว๊บกลายเป็นสีขาวด้วยซ้ำไป น่าแปลกชะมัด ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเจ้าของตาคู่ฟ้านี่ไม่ต่อต้านตัวเขานะ เขาเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า เขาจึงไม่รอช้าเมื่อตวัดลิ้นริมรสภายในปากจนพอใจแล้ว
องค์ชายตาฟ้าถลึงตาขึ้น สบตาคู่คมที่จ้องอยู่ตรงหน้า
เขาเอามือที่อยู่ใต้ผ้าห่มพยายามต่อสู้และดันหน้าอกอันแข็งแรงนั่นให้ออกจากตัว แต่อย่างที่เป็นมาตลอด ไม่ว่าจะดันเท่าไหร่ ร่างอันใหญ่โตของลิงยักษ์ตรงหน้า ก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย…
แต่แปลกนะ!!! องค์ชายถิงยื่อคิดในใจ ทำไมตาเฟิงเฟิงไม่เปลี่ยนสีล่ะ เขาคิดว่าตาคู่นี้ต้องเป็นสีน้ำเงินเข้มครามสิ หรือไม่ก็ควรดำไปเลยนะ แต่นี่ไม่สิ มันเป็นฟ้าอ่อนอยู่ แล้วก็แว๊บกลายเป็นสีขาวด้วยซ้ำไป น่าแปลกชะมัด ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเจ้าของตาคู่ฟ้านี่ไม่ต่อต้านตัวเขานะ เขาเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่า เขาจึงไม่รอช้าเมื่อตวัดลิ้นริมรสภายในปากจนพอใจแล้ว
เขารู้สึกว่าเหมือนมีเล็บแมวมาข่วนที่แถวหน้าอกเขา มันน่ารำคาญชะมัดเพราะมันแผ่วเบามากเหมือนมาลูบไล้ซะด้วยซ้ำไป เขาจึงเอามือใหญ่ของเขา รวบข้อมือสองข้างเล็กๆนั่นไว้ แล้ววางลงที่เหนือหัวของอีกฝ่าย เวลานี้เขารู้สึกว่าพลังของพระอาทิตย์ในตัวเขามันพลุ่งพล่านมากจนหยุดไม่ได้ เขาไม่รอช้าเอาปากที่ได้รูปนั่น ค่อยๆไล้ลงมาตามซอกคอ และขบเบาๆที่ติ่งหูของอีกฝ่ายไปหนึ่งที
ตอนนั้นแหละที่เขาได้ยินเสียงคนตาฟ้า ร้องอื้อขึ้นมาทีหนึ่งคล้ายเป็นเสียงที่พอใจ เขานั้นพอใจยิ่งกว่า เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าตาของอีกฝ่ายจะค่อยๆรี่ลงและเหมือนร่างกายเรียกร้องให้เขาอย่าหยุด ไม่รู้สินะ เขาไม่อยากทำเหมือนขืนใจโดยที่ไม่ถามความรู้สึกของอีกฝ่ายก่อน แม้ว่าตลอดเวลาเฟิงเยว่ จะไม่แสดงอาการต่อต้านใดๆกับเขาเลยก็ตาม แต่เขาก็อยากให้แน่ใจว่าองค์ชายใหญ่อย่างเขาไม่ได้บังคับอีกฝ่ายไปข้างเดียว เขาจึงกระซิบข้างหูเฟิงเยว่เบาๆว่า
“คืนนี้ ข้าขอได้มั้ย ?” เขารอฟังคำตอบอีกฝ่ายด้วยใจเต้นระทึก เขาไม่เคยคิดว่าเขาผู้ซึ่งเป็นองค์ชายที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้จะอยากฟังคำตอบแค่คำว่า อือ จากอีกฝ่ายแค่นั้นเอง
เฟิงเยว่ ตอนนี้เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาไม่รู้เลยว่า เขาปล่อยให้เจ้าลิงยักษ์ตรงหน้าทำแบบนี้ไปได้ยังไง แต่ด้วยรสจูบที่เขาขโมยมาจากร่างนั้น มันทำให้เขามีความสุขและพอใจอย่างมากจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกที ก็มีความร้อนแผ่ซ่านเข้ามาในปากของเขาแล้ว ไม่นะ เขาจะต้องไม่ทำแบนี้ เขาจะแพ้ให้กับคนๆนี้ได้ยังไง
แต่เขาก็ไม่อยากจะปฏิเสธความต้องการนี้ของตัวเองเลย เวลานั้นเขายังคงเถียงกับตัวเองอยู่ในใจ แต่แล้วร่างยักษ์นั่น ก็ลุกขึ้นพร้อมเอามือซุกเข้าไปใต้ผ้าห่มและห่มผ้าให้เขา นั่งลงข้างๆ เตียงแล้วหันมาพูดกับเขาว่า
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่บังคับ แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้เลยนะ ในดินแดนเหนือฟ้านี้ ข้าจะไม่มีวันยกเจ้าให้ใคร จำไว้!!!”
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็ไม่บังคับ แต่ขอให้เจ้ารู้ไว้เลยนะ ในดินแดนเหนือฟ้านี้ ข้าจะไม่มีวันยกเจ้าให้ใคร จำไว้!!!”
พูดเสร็จก็ก้มลงจูบที่หน้าผากเขาเบาๆ พร้อมกับบอกว่า ฝันดีนะ เฟิงเฟิง
เขาออกไปแล้ว ห้องนอนทั้งห้องเข้าสู่ความเย็นอีกครั้ง คราวนี้องค์ชายเฟิงเฟิงเอามือก่ายหน้าผาก พร้อมกับคิดว่า ทำไมถิงยื่อถึงได้กล้า บ้าขนาดนี้ เขาจะมาพิศวาสอะไร ทุกครั้งเขาต้องปกป้อง มอบรอยยิ้มและความอบอุ่นให้ ในขณะที่เขานั้นมีแต่สายตาที่ต่อว่า ไม่เคยทำอะไรดีๆให้ถิงยื่อเลยแม้แต่น้อย เขาคิดไม่ออกว่าทำไมเขาถึงอยากยอมแพ้และรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆที่ปล่อยให้คืนนี้ผ่านไป เขานอนไม่หลับจนกระทั่งเช้า…
องค์ชายเฟิงเยว่ก็แต่งตัวและมาเข้าเรียนยามเช้าปกติทุกคนนั่งรออาจารย์ไป๋กันอยู่ครบ ทายาททั้ง 9 ดินแดนเวลานี้มีทั้งหมด 12 คน มากันครบหมดแล้ว มีแต่เฟิงเยว่นี่แหละที่มาสายที่สุด จนเทียนอวิ๋นแซว
“นี่เฟิงเยว่ เจ้าไปทำอะไรมา เหมือนคนไม่ได้นอนยังงั้นแหละ ดูสิ ตาสีฟ้าสวยๆของเจ้า ขอบตาคล้ำแล้วน้า”
พอแซวจบแล้วก็ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย
องค์ชายเทียนอวิ๋น ผู้มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงอย่างมาก อย่างที่รู้กัน ชาวดินแดนอวิ๋น ร้องเพลงอะไรก็เพราะ เขาจึงอารมณ์ดี พร้อมกับร้องเพลงรออาจารย์ไป๋ แต่ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว อาจารย์ไป๋ก็ยังไม่มา จนองค์ชายหลิงมู่แห่งดินแดนมู่พูดขึ้นว่า
“ทำไมป่านนี้แล้วอาจารย์ไป๋ยังไม่มาอีกล่ะ เดี๋ยวข้าให้องครักษ์ไปตามที่ห้องแล้วกันนะ”
พอองครักษ์กลับมารายงานองค์ชายมู่ กองทหารองครักษ์ก็เดินขวักไขว่ไปมาเต็มวังยื่อไปหมดจนผิดสังเกต
องค์หญิงเซียงยื่อจึงถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหน่ะ ท่านพี่หลิงมู่ องครักษ์ว่าไงกันคะ”
องค์ชายหลิงมู่กล่าวตอบพร้อมด้วยหน้าตาซีดและตกใจว่า”เอ่อๆๆๆ อาจารย์ไป๋ตายแล้ว”
แทบจะทั้งห้องเรียนพูดขึ้นพร้อมกัน “ฮะ!!! อะไรนะ” องค์หญิงหมี่ซิงก็รีบชิงพูดขึ้นว่า “พี่หลิงมู่ ท่านเป็นคนเดียวที่จะตอบได้ว่าอาจารย์ไป๋ตายได้ยังไง”
คนจากดินแดนมู่ เป็นดินแดนที่รู้จักพิษ รู้จักต้นไม้ รู้จักอาวุธสังหารทุกประเภท ทำให้ในดินแดนนี้ไม่ค่อยมีคดีหรือเรื่องร้ายเกิดขึ้น เพราะทุกคนในดินแดนสามารถสืบรู้ความจริงได้ทั้งหมดว่าคนที่ถูกฆ่านั้น ตายด้วยสาเหตุใด ทั้งห้องเรียนจึงไม่รอช้า เหล่าองค์ชายและองค์หญิงจึงรีบรุดไปยังเรือนรับรองของอาจารย์ไป๋จือฮวา
สภาพภายในห้องเย็นเชียบ บ่งบอกว่ามันแปลก เนื่องจากอาจารย์ไป๋ เป็นคนดินแดนมู่เช่นกัน ห้องทั้งห้องจึงไม่ควรเย็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าสภาพภายในห้องจะมีต้นไม้หรือพุ่มไม้มากมายก็ตาม แต่มันมีแต่ความสดชื่น ทุกครั้งที่อยู่ในห้องนี้ แต่ละครั้งเมื่อองค์ชายถิงยื่อได้นั่งคุยกับอาจารย์ไป๋ เขารู้สึกสบาย ไม่หนาวเย็นเหมือนเช่นวันนี้
องค์ชายหลิงมู่ “ ข้าก็ไม่อยากจะบอกนะ แต่จากสภาพศพอาจารย์ไป๋ ท่านสิ้นใจตั้งแต่เมื่อคืน รวมทั้งห้องที่ทุกคนเข้ามาถึงก็รู้สึกได้ใช่มั้ย ว่ามันแปลกๆ แล้วก็ดูสิ ข้าใช้เข็มไม้ทดสอบที่ตัวของอาจารย์ มันกลายเป็นสีฟ้า บ่งบอกว่าพิษในร่างของอาจารย์ไป๋มาจากฝีมือคนเมืองเยว่แน่ๆ ไม่ใช่อุบัติเหตุอะไร แล้วก็ทั่วทั้งวังนี้ ก็ไม่มีใครที่มาจากดินแดนเยว่ นอกจาก....”
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่องค์ชายเฟิงเยว่ ซึ่งตอนนี้ตาเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าคราม และจ้องมองตอบทุกคน
“เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเฟิงจะเป็นคนทำ ข้าไม่เชื่อหรอกหลิงมู่ เจ้าอย่าคิดว่าสภาพแบบนี้แล้วต้องมีแต่เฟิงเยว่ที่ทำได้สิ” องค์ชายถิงยื่อรีบปกป้องเหมือนทุกครั้ง
องค์ชายหลิงมู่ “ข้าไม่ได้ใส่ร้ายนะ ข้าแค่พูดไปตามที่เห็น ถิงถิง ทำไมท่านถึงคิดว่าไม่ใช่เฟิงเยว่ ท่านมีหลักฐานอะไร”
ถิงยื่อรีบเถียงทันที “ก็เมื่อคืนข้ากับเฟิงเยว่อยู่ด้วยกันตลอด ข้าเป็นพยานยืนยันได้ว่าเวลาที่ท่านอาจารย์ถูกพิษเฟิงเยว่ไม่ได้เป็นคนทำ”
ทุกคนหันหน้าไปมองตาสีน้ำเงินครามคู่นั้นที่ดูเหมือนจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ
องค์ชายเฟิงเยว่ตอบกลับทันที “ไม่ ข้าไม่ได้ทำ และข้าก็ไม่ได้อยู่กับเขาทั้งคืน ถ้าพวกเจ้าทุกคนคิดว่าข้าทำ ก็จับข้าไปเลยสิ รอช้าอยู่ทำไม”
พูดไม่ทันขาดคำ องค์หญิงหมี่ซิงก็เรียกทหารข้างนอก แล้วบอกให้มาจับองค์ชายเฟิงเยว่ไปขังคุกหลวง ตอนที่ถูกจับมัด องค์ชายถิงยื่อพยายามจะสบตาเขา แต่เขาไม่สบตาด้วย เพราะเขาไม่ต้องการพยาน ไม่ต้องการให้ใครช่วย ก็เขาไม่ได้ทำ จะมายัดเยียดความผิดนี้ให้เขาไม่ได้ คอยดูแล้วกัน ทุกๆดินแดนจะต้องชดใช้ที่มาใส่ร้ายเขาในวันนี้....
โปรดติดตามตอนต่อไป...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น