ดินแดนเหนือฟ้า ใต้หล้านี้เพื่อเธอ
…The land before time…
บทที่ 6 พลังหลานเหยียน
ณ
ริมแม่น้ำตงเหอ
หลังจากร่ำลากับสองพี่น้องและแม่เฒ่าในตอนเช้าตรู่เรียบร้อย
สององค์ชายที่มีชะตาร่วมกัน ก็เดินออกห่างจากหมู่บ้านชาวประมงมาเรื่อยๆ
และมุ่งหน้าเหมือนจะไปทางดินแดนยื่อ เพื่อหลบจากผู้คนแถวนั้น พวกเขาจึงเดินต่อมาไกลพอสมควร ริมฝั่งบริเวณนี้เต็มไปด้วยก้อนหินกลมๆ เกลี้ยงๆ
สีมันวาวสวยงามมากมาย และต้องแสงแดดยามเช้าดูระยิบระยับมาก คนตัวยักษ์ยังคงอ้อยอิ่ง
ค่อยๆเดินโดยตอนนี้เขาเอามือจูงเฟิงเยว่แล้วเดินไปแบบช้ามาก เรียกว่าเต่ายังอายเลย
เฟิงเยว่จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่เรียกเจ้าเอ้อมาสักที
จะได้รีบกลับดินแดนยื่อ จึงเอ่ยถามออกไป
“ถิงถิง เจ้าเป็นอะไร ทำไมถึงยังไม่เรียกเจ้าเอ้อมาอีกล่ะ
นี่ก็สายมากแล้วนะ เจ้าบอกองค์ราชาไว้ไม่ใช่เหรอว่าจะกลับวันนี้”
ถิงยื่อหันหน้ามามองคนตาสีฟ้าที่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเป็นประกายแว๊บวับมากกว่าแต่ก่อน
“เฟิงเฟิง เราไม่กลับไม่ได้เหรอ ข้าอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
เราไปหาเรือสักลำ แล้วก็อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไม่ต้องทำอะไรมาก หาปลา ปลูกผัก
แล้วก็ร้องเพลงไปวันๆ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ข้าไม่อยากไปไหนอีก
ข้าอยากอยู่กับเจ้าแค่สองคน” เจ้าลิงยักษ์นี่ทำสายตาออดอ้อนแล้วน่ารักมากๆ
เฟิงเยว่นึกขำในใจ อะไรกันเนี่ยะ คนตัวใหญ่แบบนี้ก็มีมุมขี้อ้อนกะเค้าด้วย
“ถิงถิง เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เจ้าไม่ได้ยินที่แม่เฒ่าบอกหรือไง
เจ้าคือความหวังของดินแดนยื่อ ความหวังของทุกสรรพสิ่งในดินแดนเหนือฟ้านี้
เจ้าไม่ควรเห็นแก่ตัวแล้วมามีความสุขอยู่คนเดียวหรอกนะ ชาวบ้านอีกตั้งมากมาย
ที่อาจจะต้องล้มตายถ้าเกิดหายนะขึ้น ไหนจะองค์ราชา ราชินี เซียงยื่ออีกล่ะ
เจ้าไม่เป็นห่วงพวกเค้าเหรอ อย่างอแงสิ เรียกเจ้าเอ้อมาซะที เราจะได้กลับกัน”
“ไม่ๆๆๆ ข้าไม่อยากกลับ เราอยู่ต่ออีกสักวันสองวันนะ
มีแค่เราสองคนที่ริมแม่น้ำตงเหอนี้ อย่างน้อย
ก็ให้ข้าได้อยู่ร่วมกับเจ้าอีกสักหน่อย ข้ายังไม่หายดีเลย”
ถิงยื่อพยายามต่อรองและอ้างโน่นอ้างนี่เท่าที่เขาจะคิดออก
“ถิงถิง เจ้าหายดีแล้วนะ เจ้าออกจะแข็งแรง ไม่งั้นเมื่อคืน...”เขาไม่อยากพูดต่อ
แค่คิดถึงเรื่องเมื่อคืน เขาก็แทบจะร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
ไม่รู้เหมือนกันว่าถิงยื่อทำไมถึงได้แข็งแรงนัก
เราดึงดูดเข้าหากันและกันตลอดทั้งคืนเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
โดยเฉพาะตัวเขาเอง เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ในร่างกายมันเหมือนมีพลังแปลกๆ
ที่เขาไม่เข้าใจนัก รู้แต่ว่ามันไม่หนาวแต่ก็ไม่ร้อนมาก เป็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเขา
ทำให้เขารู้สึกต้องการคนตรงหน้าไม่จบไม่สิ้น แค่คิดหน้าก็ร้อนขึ้นๆเรื่อย
“ฮั่นแน่ เจ้าๆๆ เจ้าคิดอะไร ข้ารู้นะ งั้นเจ้าก็อยู่กับข้า
อยู่ด้วยกันอีกสักคืนนะๆๆ เฟิงเฟิง นะๆๆๆ”
ถิงถิงรู้สึกมีความสุขที่เห็นหน้าสุกปลั่งแดงกล่ำเช่นนั้น
เขาหวังว่าลูกอ้อนของเขาจะทำให้คนตาสีฟ้านี้ใจอ่อนซะที
“ไม่ได้ ถิงถิง เราต้องกลับ ข้าเป็นห่วงเรื่องหยกเหอเสวี่ย ไม่ว่ายังไง
ข้าก็ไม่วางใจเรื่องพิษในตัวเจ้าหรอกนะ เจ้าอย่างอแงสิ ข้าสัญญาว่ากลับไปแล้ว
ข้าก็จะอยู่กับเจ้า“ อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมใจอ่อนแต่โดยดี
หากแต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่กับถิงยื่อกันสองคนหรอกนะ
เขากลัวว่าถ้าเกิดพิษกำเริบอีก เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไปมากกว่า ดังนั้น
เขาจึงอยากกลับไปเอาหยกเพื่อเอาเมล็ดเหอเสวี่ยให้ถิงยื่อกินก่อนจึงจะวางใจได้ พอพูดออกไปดังนั้น อีกฝ่ายหันหน้ากลับไปทันที ไม่ยอมพูดยอมจา
แล้วก็ค่อยๆเดินๆ ลากๆเขาไปอีกอย่างช้าๆ เฟิงเยว่จึงเรียกอีกครั้ง
“ถิงถิง เจ้าอย่าเอาแต่ใจสิ ถิงถิง เจ้าฟังข้าก่อน”
เขาเข้าใจอารมณ์ของอีกฝ่ายดี แต่เขาไม่ตามใจหรอกนะ
เขาหยุดไม่ยอมให้อีกฝ่ายลากเดินต่อไปอีกแล้ว ถึงแม้เขาจะสู้แรงไม่ได้
แต่นั่นก็ทำให้ช้าลงจนอีกฝ่ายไม่เดินต่อไป
ลิงยักษ์หันมาทำหน้าอ้อนอีกครั้ง “เฟิงเฟิง
เจ้าต้องสัญญานะ กลับไปแล้ว เจ้าต้องให้ข้าไปหาทุกคืน เราต้องเจอกันทุกวัน
เข้าใจมั้ย อีกแค่ 3 เดือน ข้าก็จะครองดินแดนแทนท่านพ่อ
ถึงตอนนั้นจะไม่มีใครสั่งข้าได้อีกต่อไป เราก็จะได้อยู่ด้วยกัน”
ถึงตอนนี้เฟิงเยว่คิดแล้วว่าถิงยื่อคงยอมทำตามแล้ว เขาจึงได้ล้วงมือเข้าไปหยิบ
หยกสีขาวเป็นวงกลมที่แทนสัญลักษณ์ของจันทร์เต็มดวงที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่เด็ก
แล้วยื่นให้
“ถิงถิง เจ้าเก็บนี่ไว้ มันคือของแทนตัวข้า
เมื่อใดที่ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้า มีมันอยู่ก็เหมือนมีข้าอยู่ หยกไป๋เยว่นี้ ข้ารักมาก
มันมีพลังชีวิตของข้าที่จะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้ ข้าไม่มีวันไปจากเจ้า
หากแต่ถ้ามีวันนั้นจริงๆ อย่างน้อยก็มีของแทนตัวข้า”
ถิงถิงเห็นหยกนั่น ก็รับมาแล้วแนบไว้กับอก แล้วก้มลงจูบคนตาสีฟ้าที่เขารักมากที่สุดตรงหน้าอย่างทะนุถนอม
เขารู้ว่าของสิ่งนี้มีค่ามากแค่ไหน เขาจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี
เมื่อมาถึงดินแดนยื่อ
ทั้งสองจึงตรงเข้าไปพบกับองค์ราชาและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหยกเหอเสวี่ยและแม่เฒ่าให้องค์ราชาทราบทั้งหมดทันที
“ถิงถิง
เจ้าทำตามที่พ่อบอกดีมาก
แต่ว่าความจริงเรายังไม่มีหลักฐานว่าหยกเหอเสวี่ยอยู่กับหลิงมู่
นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พวกเจ้าเห็น บอกไปก็อาจจะมีคนครหาได้
หรือแม้แต่ตัวหลิงมู่เองก็อาจจะไม่ยอมรับ เอาอย่างนี้นะ
เราค่อยหาทางให้เขายอมรับและนำหยกออกมาให้ได้ อีกอย่างเรื่องขององค์หญิงสุ่ยเก๋อ
ก็ยังไม่กระจ่าง ถึงแม้ว่าองค์ราชาจะบอกว่าให้หยกเหอเสวี่ยไว้กับนาง
แต่ถึงเวลาถ้าบอกว่าหยกทำให้อาจารย์ไป๋ตาย แปลว่านางเป็นคนทำ
เมื่อนั้นฆาตกรตัวจริงก็ลอยนวลไปได้ ดังนั้นเรื่องนี้เราต้องสืบอย่างละเอียด”
“ท่านพ่อ แล้วท่านยังต้องจับเฟิงเฟิงเข้าคุกหลวงอีกหรือไม่”
ถิงยื่อย้อนถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องแล้ว
เพราะพ่อได้สั่งให้พาคนจากดินแดนมู่ที่เป็นหมอเชี่ยวชาญมาตรวจสภาพศพแล้วบ่งบอกว่าไอเย็นที่เกิดขึ้นนั้นมาจากจุดเดียว
ไม่ได้เกิดขึ้นทั้งตัวเหมือนฝีมือคนดินแดนเยว่ พ่อจึงให้เฟิงเยว่พ้นข้อกล่าวหาแล้ว
หากแต่เรายังไม่สามารถจับคนร้ายตัวจริงได้เท่านั้น”
องค์ราชาอธิบายและวิเคราะห์ให้ทั้งสองฟังอย่างละเอียด
ระหว่างที่พูดคนเป็นพ่อสังเกตเห็นสายตาอะไรบางอย่างของทั้งคู่
แต่ก็ยังไม่อยากสรุปอะไร
หลังจากนั้นจึงบอกให้ทั้งสองอยู่ก่อนเพราะมีเรื่องจะบอกและให้เรียกเซียงยื่อกับองค์ราชินีเข้ามา
“เอาล่ะ เมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้ว ข้าก็มีอะไรจะปรึกษาพวกเจ้าก่อน
ก่อนที่จะประกาศออกไป” องค์ราชามองหน้าทุกคนที่อยู่ในครอบครัว “ข้าได้ปรึกษากับท่านพี่ฟงแล้ว
เรื่องการอภิเษกของเฟิงเยว่ ทุกคนเห็นเป็นยังไง ข้าว่าจะจัดขึ้นพร้อมการสถาปนาถิงถิงเป็นองค์ราชาเลย”
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา โดยเฉพาะเฟิงเยว่ งงหนัก
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าองค์ราชาก็ได้คุยกับท่านพ่อของเขาด้วย
จึงหันไปมองหน้าถิงยื่อที่กำลังทำหน้าไม่ถูกเพราะไม่แน่ใจว่าองค์ราชารู้อะไรบ้าง
“ท่านพ่อ ท่านจะให้เฟิงเยว่กับลูก...เอ่อๆๆ”
ถิงยื่อไม่กล้าพูดเพราะไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ใช่สิพ่อจะจัดงานพร้อมกัน งานของลูก
กับงานของเฟิงเยว่อีกไม่นานเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
องค์ราชากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“จริงๆรึท่านพ่อ ท่านอย่าหลอกให้ข้าดีใจนะ”
ถิงยื่อไม่อยากจะเชื่อว่าองค์ราชาจะยอมรับได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
ต้องขอบคุณสวรรค์แล้ว
“ใช่สิ เราสองดินแดนต้องรวมกันเพื่อขจัดหายนะที่เกิดขึ้น ลูกข้าไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถึงแม้ว่านางอาจจะซนไปบ้าง
แต่เซียงเซียงก็น่ารักไม่แพ้องค์หญิงหมี่ซิงเลยจริงมั้ย เจ้าเห็นด้วยหรือไม่”
องค์ราชาพูดกับเฟิงเยว่และหันไปมองเซียงยื่อ
“อะไรนะท่านพ่อ ท่านหมายความว่าอะไร”คราวนี้เป็นคนน้องบ้างที่ส่งเสียงแหลมผ่าออกมากลางอากาศ
“ท่านๆๆ ท่านจะให้ข้ากับพี่เฟิงเยว่แต่งงานกันหรือคะ”เซียงยื่อถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่สิ เจ้ากับเฟิงเยว่แต่งงาน ถิงถิงก็ขึ้นครองดินแดนในวันเดียวกัน
พ่อกับแม่จะได้หมดห่วง เจ้าว่าไงองค์ราชินี"
“ก็ต้องดูด้วยนะคะ ว่าลูกทั้งสองยินยอมหรือไม่
เฟิงเยว่ก็เป็นถึงองค์ชายแห่งดินแดนเยว่ไหนเลยข้าจะไม่เห็นด้วย แต่หัวอกคนเป็นแม่
ถ้าเซียงเซียงไม่มีความสุข ข้าก็ไม่มีความสุขหรอก”องค์ราชินีแสดงความเห็นได้ตรงจุด
“ท่านพ่อ ไม่ได้นะ ข้าแต่งกับพี่เฟิงเยว่ไม่ได้”
เซียงยื่อบอกไปตามความจริง
“ทำไมล่ะ ทำไมจะแต่งไม่ได้ เจ้าหน่ะ โตแล้ว ไม่ควรเอาแต่ใจ
เมื่อเจ้าทั้งสองแต่งงานกัน
เราสองดินแดนก็สงบสุขแล้วพี่เจ้าก็จะได้มีคนช่วยปกครองด้วย”
องค์ราชาให้เหตุผลเพิ่มเข้าไปอีก
“ว่าไงล่ะเฟิงเยว่ เจ้าเห็นเป็นยังไง”
คนตาสีฟ้าที่ตอนนี้กำลังมึนไปหมด ว่าท่านพ่อของเขาคิดอะไรอยู่ ตอนแรกบอกว่าให้เป็นใหญ่เหนือทุกดินแดน
แล้วนี่อะไร กลับจะให้เขาไปรวมกับดินแดนยื่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาอยากจะรวมด้วย
แต่ว่าไม่ใช่แบบนี้นะ...
“ข้าไม่ทราบจะพูดอย่างไรดี น้องเซียงยื่อก็น่ารัก
แต่ข้าคิดว่ามันคงเร็วไปที่จะตัดสินใจ ขอเวลาข้าได้ไตร่ตรองดูก่อนได้หรือไม่องค์ราชา
อีกอย่างดูเหมือนน้องเซียงยื่อจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่”
เฟิงเยว่กล่าวได้ถูกทุกคำ องค์ราชาจึงคิดได้
“อืม นั่นสินะ มันก็เร็วไปหน่อย
ข้าก็เพิ่งได้ปรึกษากับพี่ฟงแค่ไม่กี่วันนี้ พวกเจ้าคงยังไม่แน่ใจ
แล้วเซียงเซียงเจ้ามีอะไรก็บอกพ่อมานะ พี่เค้าไม่ดีตรงไหน
แต่ไม่ว่ายังไงพ่อก็คิดว่านี่มันดีกับพวกเจ้าทุกคน จริงมั้ยถิงถิง”
คนตัวใหญ่รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด นี่ท่านพ่อคิดอะไรอยู่ เขาจึงยังไม่ตอบอะไร
แต่น้องสาวตัวแสบเขาสิไม่พูดจาอะไรวิ่งร้องไห้ออกไปข้างนอก
หลังจากนั้นองค์ราชาจึงให้แยกย้ายกันไปพักผ่อน
เขาและเฟิงเยว่จึงเดินกลับที่พัก
ต่างคนต่างไม่พูดไม่จา พอดีกับที่หลิงมู่ก็เดินมาเจอสองคนนี้พอดี
“อ้าว ตกลงคนดินแดนเยว่ไม่ใช่คนร้ายแล้วสินะ
องค์ราชาทำแบบนี้เหมือนจะไม่เชื่อที่ข้าคาดเดา หาว่าข้าใส่ร้ายเจ้ารึเปล่า”
หลิงมู่กล่าวทักแบบไม่พอใจในคำตัดสินสักเท่าไหร่
“พี่หลิงมู่ ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านเข้าใจผิด หากแต่ข้าไม่ได้เป็นคนทำ
ท่านไม่เชื่อที่ข้าพูดรึ”
เฟิงเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อแสดงว่าเขาไม่ต่อต้านหลิงมู่
ซึ่งทำให้ถิงยื่อรู้สึกไม่พอใจนัก
“เจ้าพูดแบบนี้ก็แปลว่าเจ้าไม่หาว่าข้าใส่ร้ายงั้นสิ อืม ก็ดีนะ
จริงๆข้าก็ไม่ได้อยากพูดแบบนั้นหรอก
ข้าแค่บอกไปตามที่รู้สึก
พวกเราคนดินแดนมู่ชอบพิสูจน์ความจริง ใช่ก็บอกว่าใช่ ไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่
ในเมื่อเจ้าเข้าใจ ข้าก็ไม่ติดใจอะไร ว่าแต่กลับมานี่ดูหน้าตาเจ้าสดใส
สีตาของเจ้าก็สวยขึ้นจับใจเลยนะ” หลิงมู่พูดและส่งสายตายิ้มหวานมาทางอีกฝ่ายที่ดูอ่อนให้เขามาก
“พี่หลิงมู่ เอางี้นะ
ให้ข้าเลี้ยงน้ำจันทราเป็นคำขอโทษที่ท่านต้องคาดเดาผิดไป ท่านยินดีหรือไม่”เฟิงเยว่เอ่ยข้อเสนอให้
“โอ้ว ดีสิ ทำไมจะไม่ยินดี น้ำจันทรา เป็นน้ำจากดินแดนเยว่
มีแต่คนดินแดนเยว่ที่ปรุงมันได้ ข้าเคยกินครั้งนึง จำได้ว่ารสชาติดีมาก
กินแล้วทำให้มีความสุขและลืมทุกอย่างได้” หลิงมู่รู้สึกอยากชิมอีกครั้งขึ้นมาทันที
“เฟิงเฟิง เจ้าจะทำอะไร ไหนเจ้าสัญญาว่า...”
ยังไม่ทันที่ถิงยื่อจะพูดต่อ เฟิงเยว่เอามือจับแขนหลิงมู่แล้วมองหน้าหลิงมู่ไม่วางตา
แล้วหันมาบอกกับเขาว่า
“ถิงยื่อเจ้ากลับไปที่ห้องเถอะ
พวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว ไปกันเถอะพี่หลิงมู่
ข้าจะไปเตรียมข้าวปลาอาหารและน้ำจันทราให้ท่าน รอสักประเดี๋ยวนะ”
หลังจากนั้นเฟิงเยว่ก็เดินนำหลิงมู่ที่ดูตาลอยๆ เดินตามไปทันที
ตอนนี้ไฟหึงลูกมหึมาได้ก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรงในตัวเขา
นี่อะไรกัน!!!ก่อนหน้านี้ท่านพ่อจะให้เฟิงเฟิงแต่งงาน เขาก็ไม่ได้บอกปัด บอกแต่ว่าขอคิดก่อน
แปลว่าเฟิงเฟิงจะยินยอมรึเปล่า แล้วยังไม่ทันได้คุยกัน นี่ก็จะไปกับหลิงมู่
แถมไปหว่านเสน่ห์ทำตาสีฟ้าสวยๆใส่อีก
เขาชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!!!
เพราะในใจเขารู้สึกว่าเฟิงเยว่ดูเร่าร้อนขึ้นและมีแรงดึงดูดที่ผู้ชายทุกคนอยากเข้าใกล้
และไม่ขัดเขินที่จะอยากได้ไว้ในครอบครองเลย
สายตาสีฟ้าคู่นั้นกับพลังบางอย่างทำให้เขารู้สึกได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า
ไม่มีวันหรอกที่เขาจะยอมให้เฟิงเยว่ไปเป็นของคนอื่น โดยเฉพาะหลิงมู่
เขาจึงค่อยๆแอบตามไป
ภายในห้องพักเฟิงเยว่
ถึงแม้ว่าจะเย็นสักหน่อย หากแต่ตอนนี้ คนตาสีฟ้า
จัดแจงสำรับอาหารพร้อมทั้งน้ำจันทราให้หลิงมู่ได้ดื่มแล้ว ดูหลิงมู่มีความสุข
พูดคุยไม่หยุด
เฟิงเยว่ไม่รู้หรอกว่า
สายตาคู่คมกริบที่แอบซ่อนตัวอยู่หลังฉากที่ห้องเขานั้น
กำลังใกล้ระเบิดเข้าไปทุกทีเมื่อเห็นภาพนั้น
“พี่หลิงมู่ มองตาข้าสิ มองตาข้า ข้าอยากถามอะไรบางอย่างกับท่าน” หลิงมู่คล้อยตามอย่างง่ายดาย
ไม่ใช่แค่ฤทธิ์ของน้ำจันทราที่ทำให้เขาเบลอ
หากแต่เป็นพลังจากสายตาสีฟ้าที่เป็นพลังเฉพาะขององค์ชายเฟิงเยว่
ท่านแม่บอกว่านั่นคือพลังหลานเหยียน เป็นพลังประจำตระกูลเยว่ที่ตกทอดกันมาจากบรรพบุรุษ
ตาสีฟ้านั่นเมื่อต้องการความลับอะไรก็จะสามารถจ้องตาและมองเข้าไปเพื่อเค้นหาความจริงได้
และอีกอย่างที่ท่านแม่สอนเขามาก็คือการปรุงน้ำจันทราเพื่อใช้ในการทำให้คนที่เราต้องการล้วงความลับนั้น
จำอะไรไม่ได้เลย
หลิงมู่ขมุบขมิบปากพูดออกมาหลายคำ แล้วก็ไม่พูดเปล่า
เพราะเอาปากมาใกล้หน้าเฟิงเฟิงของเขามากๆ ซึ่งนั่นทำให้เขาทนไม่ได้อีกต่อไป
เขาจึงออกมาจากหลังฉากนั่น และลากเฟิงเยว่ออกมาทันที
“หยุดได้แล้ว
มากับข้าเดี๋ยวนี้” เฟิงเยว่ตกใจมาก หากแต่หลิงมู่ไม่มีสติแล้ว
เขายังคงพูดๆๆๆ แล้วก็พูดต่อไปคนเดียว
เฟิงเยว่ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร
คนตัวยักษ์ก็อุ้มขึ้นพาดบ่า แล้วก็พาออกไปจากห้องทันที เขารู้ทางลัดอยู่แล้ว จึงตรงมาที่ห้องเขาอย่างง่ายดาย
ระหว่างนั้นเฟิงเยว่ไม่พอใจที่ถิงยื่อมาทำเสียแผน เขาจึงดิ้นๆๆ
แล้วก็เอาเท้าเตะไปหลายที
เอามือทุบหลังไปด้วยเพื่อให้ลิงยักษ์ปล่อยเขา
“ถิงถิง
เจ้าปล่อยข้า ปล่อยข้าสิ เจ้ามาทำไม เจ้าไม่เข้าใจ อีกนิดเดียวนะ ให้ข้ากลับไปก่อน”
ถิงยื่อได้ยินเสียงของเจ้าแมวตัวน้อยที่ร้องอยากจะกลับไป
ด้วยร่างกายที่ผ่านเรื่องราวมาพอควรจึงตัวเบาขึ้น ทำให้สามารถแบกมาได้อย่างสบายๆ
เขาไม่มีวันยอมให้กลับไปมองตาหลิงมู่ต่ออีกรอบหรอกนะ
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในห้องเขา เขาก็พูด “หยุดเลยนะ หยุดเกาหลังข้าได้แล้ว เจ้าก็รู้ว่ามันไม่สะเทือนสักนิด เจ้าเตะข้า ทุบข้าเหรอ เจ้าก็รู้ข้าไม่มีวันให้เจ้าไปอยู่กับใคร ไม่มีวันยอม เข้าใจมั้ย”
หลังจากนั้นเขาไม่ปล่อยให้เฟิงเยว่ได้พูดอะไรต่อ
เขาเหวี่ยงคนที่หลังลงไปที่เตียงเขา
พร้อมกับเอามืออันใหญ่นั้นจับกดมือทั้งสองของอีกฝ่ายขึ้นที่เหนือหัว
แล้วก็ใช้ปากบดลงไปที่ปากอันอวบอิ่มนั้นอย่างไม่ออมแรงจนอีกฝ่ายได้แต่ร้อง “อื้ออออๆๆๆ”
ตอนนี้เฟิงเยว่พยายามจะดิ้นสุดแรงกว่าเดิม แต่ไม่ว่าจะดิ้นยังไงก็ไม่หลุดเหมือนเดิม
เจ้าลิงยักษ์นี่ทำไมวันนี้ยิ่งมีแรงมากกว่าเดิมอีกนะ เขาคิดในใจ
“เจ้าทำเป็นสัญญากับข้า
ทำเป็นดีกับข้า ให้หยกข้า แต่ในใจเจ้า ยังคิดจะไปหาคนอื่น
เจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่
ตาสีฟ้าคู่นี้ทำไมถึงได้ไปมองหลิงมู่หวานขนาดนั้นได้
เจ้าเป็นของข้า ได้ยินมั้ย
ว่าเจ้าเป็นของข้า”
ถิงยื่อรู้สึกได้ว่าพลังความร้อนในตัวเขาตอนนี้แทบจะระเบิดเป็นภูเขาไฟแล้ว
เขาถอนปากออกมาพูดแค่นั้นแล้วก็ยังคงซุกไซร้เอาปากดูดเข้าที่ลำคออีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องเหมือนกระหายอะไรสักอย่างโดยควบคุมไม่ได้
หลังจากนั้นจึงรวบมือเล็กๆนั่นไว้ แล้วถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกอย่างรวดเร็ว
เสร็จแล้วก็เอาสายรัดเอวมาผูกข้อมือเล็กแล้วมัดไว้ที่หัวเตียง
พร้อมกับถอนปากออกมาแล้วพูดว่า
“ที่ผ่านมา
เจ้าไม่เชื่อข้าใช่มั้ยว่าเจ้าเป็นของข้าแล้ว ข้าไม่มีวันยกเจ้าให้กับใคร
เจ้าจะเชื่อฟังข้าดีๆหรือเปล่า เฟิงเฟิง ข้ารักเจ้า เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ารักเจ้า”
เฟิงเยว่รู้สึกว่าเรื่องชักจะไปกันใหญ่ ถิงยื่อคิดว่าเขาไปหวานใส่คนอื่น
จะบ้ารึเปล่า!!!
นี่เขาใช้พลังหลานเหยียนล้วงความลับเรื่องหยกจากหลิงมู่ก็เพราะถิงยื่อนั่นแหละ ไม่ใช่ใครที่ไหน
แล้วดูสิ เจ้าลิงยักษ์นี่มาจับเขามัดไว้
เฟิงเยว่จึงอาศัยจังหวะที่ถิงยื่อกำลังถอดเสื้อผ้าตัวเอง พูดขึ้น
“ถิงถิง
เจ้าฟังข้าก่อน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” แต่ให้ตายเถอะ!!! เจ้าลิงยักษ์นี่หน้ามืดไปแล้ว
เขาไม่ฟังอะไรเลย
ระดมจูบอันเร่าร้อนมาที่ตัวเขาเต็มไปหมด ตอนนี้ถิงถิงแทบจะไม่ปล่อยให้ทุกส่วนของเขาได้หายใจ
ปากนั้นดูดคลึงร่างกายส่วนบนของเขาไม่หยุดหย่อน
ในขณะที่มือทั้งสองก็ทั้งจับและบีบทั่วร่างด้านล่างไป จนเขาจะละลายไปหมดแล้ว
ร่างกายและจิตใจเขาจึงไม่สามารถจะต้านทานได้อีกต่อไป
เขายอมแพ้อีกแล้ว
เขารู้สึกมีความสุขอีกครั้งเมื่อความร้อนไหลเข้าสู่ร่างของเขา
พร้อมส่งเสียงครางเบาๆเป็นระยะๆ
ถิงยื่อจึงเริ่มพอใจและรู้สึกว่าในที่สุดแมวน้อยแสนน่ารักของเขากลับมาสู่อ้อมกอดเขาแล้ว
เขาจึงเริ่มกระซิบข้างหูของอีกฝ่าย “เจ้าเข้าใจแล้วใช่มั้ย
ว่าผลของการไปทำตาหวานใส่คนอื่นจะเป็นยังไง”
เขาขบไปที่ติ่งหูของอีกฝ่ายอีกครั้ง แล้วยังคงระดมถ่ายเทความร้อนไม่หยุดประสานกันเป็นจังหวะ
จนกระทั่งแมวน้อยร้องครางอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงอันพร่าเบาว่า “ถิงถิง
ข้ารักเจ้า เจ้าฟังข้า ข้ารักเจ้า”
คราวนี้เจ้าลิงยักษ์ยอมฟังเขาแล้วเหรอ
ถิงยื่อแก้มัดเขาพร้อมกับช้อนตัวเขาขึ้นซึ่งตอนนี้ร่างกายเขาอ่อนไปหมดแล้ว เพราะละลายด้วยความร้อนที่ส่งผ่านร่างเข้ามา
ตอนนี้สองคนนั่งโอบกอดกันด้วยร่างที่เปลือยเปล่า
ถิงยื่อเอาข้อมือที่ถูกมัดขึ้นมาจูบเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “เฟิงเฟิง
ข้าไม่อยากให้เจ้าไปยุ่งกับคนอื่นนะ ดวงตาคู่นี้เป็นของข้า มือคู่นี้ก็เป็นของข้า
เจ้าเข้าใจมั้ย
เจ้าเจ็บมือรึเปล่า ข้าแค่โมโห ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
เขาเพิ่งเริ่มรู้สึกตัวว่าทำเกินไปหน่อย แต่ช่วยไม่ได้ ของรักของเขา
เขาไม่ให้ใครหรอก...
“ถิงถิง เจ้ารู้มั้ยว่าข้ายังไม่ได้ความลับสุดท้ายจากหลิงมู่เลย
เจ้าก็ลากข้าออกมา
ทำให้พลังหลานเหยียนของข้าที่ปล่อยไปไม่คุ้มค่า
นี่ข้าเสียพลังไปมากนะ”
เขาเอ่ยขึ้นเป็นการตัดพ้อในการกระทำบ้าบิ่นของอีกฝ่าย
แถมตอนนี้เขาหมดแรงต่อต้านใดๆ
เจ้าลิงยักษ์ด้านหน้าแอบทำหน้าอึ้งไปเล็กน้อย พร้อมกับพูดว่า
“อะไรนะ
พลังหลานเหยียน มันคืออะไร เจ้าเสียพลังมาเหรอ ข้าว่าไม่นะ เจ้ายังมีแรงดิ้น
ต่อสู้ข้าตั้งนาน” ดูเจ้าลิงยักษ์ ยังไม่วายจะมาแขวะเขาอีก
“พลังหลานเหยียนจากดวงตาข้า
จะใช้สืบว่าหลิงมู่เอาหยกไปไว้ไหน
ข้าถามเพราะอยากได้ยาถอนพิษ อยากให้คนที่ข้ารักหาย เจ้านี่มันลิงยักษ์ซื่อบื้อจริงๆ”
คราวนี้เขาเอานิ้วจิ้มไปที่แผงอกที่แข็งแรงนั่น
แล้วแผ่ฝ่ามือออกพร้อมกับลูบไล้เบาๆ
“นี่ใจคอเจ้า คิดว่าข้าจะไปหาคนอื่นเหรอ
ลิงยักษ์บ้าอำนาจแบบเจ้า ข้าไปรักได้ยังไงกันนะ”
เมื่อพูดเสร็จ เขาจึงเอาปากจูบลงไปที่แผงอกนั่นอย่างแผ่วเบาทีนึงแล้วพูดว่า
“เจ้าหน่ะปกติก็ฉลาดออก
ทำไมวันนี้ดีแต่ใช้กำลัง คราวหลังหัดคิดก่อนว่าข้าจะไปทำแบบนั้น
กับหลิงมู่ได้ยังไง ข้ารักลิงยักษ์ตรงหน้านี้ยิ่งกว่าอะไร เข้าใจมั้ย”
หลังจากนั้นเขาก็จูบพร้อมขบเล่นที่แผงอกตรงหน้าอีกหลายครั้ง คล้ายจะหยอกเย้าอีกฝ่าย
คราวนี้คนตัวใหญ่ตรงหน้าไม่นิ่งเฉย
เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเฟิงเยว่ถึงทำแบบนี้...ทั้งหมดก็เพื่อตัวเขา
ตอนนี้เขาไม่คิดอะไรแล้ว เพราะความเย็นจากปากเฟิงเยว่มากระตุ้นที่แผงอกเขาอีกหลายครั้ง
ทำให้เขารู้สึกหนาวสะท้านและปลุกพลังความร้อนในตัวเขาขึ้นมาใหม่
เขาจึงใช้มือกดอีกฝ่ายลงไปนอนอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดว่า
“ข้านี่ไม่ไหวเลยนะ
งั้นข้าจะไถ่โทษอีกทีแล้วกัน เจ้าจะยกโทษให้ข้าใช่มั้ย”
เขาไม่รอคำตอบ บรรจงจูบเข้าที่เปลือกตาสีฟ้าอย่างแผ่วเบา แล้วเริ่มไล่ลงมาเคล้าคลึงที่ปากเพื่อลิ้มรสหวานที่เขาชอบ
ทั้งคู่ตอบรับและสอดประสานกันอีกครั้งอย่างมีความสุข...
ตอนนี้ใกล้สว่างแล้ว
เฟิงเยว่ตื่นขึ้นพร้อมกับอยู่ในอ้อมกอดเจ้าลิงยักษ์ที่ยังนอนหลับอุดตุอยู่ เขาหันไปจูบที่ปากอีกฝ่ายด้วยความรัก แล้วค่อยๆลุกขึ้นแต่งตัวอย่างเงียบๆเพราะกลัวลิงยักษ์จะตื่นมาอาละวาดอีก จึงรีบกลับไปที่ห้องตนเอง...
เมื่อมาถึงก็พบว่าหลิงมู่ยังคงนอนหลับฟุบอยู่ที่โต๊ะ เขาจึงปลุกขึ้นมาพร้อมส่งพลังหลานเหยียนใส่ที่ดวงตาสลึมสลือนั่น
คราวนี้ความลับทุกอย่างพรั่งพรูออกมาไม่หยุด...
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น