วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ดินแดนเหนือฟ้า ใต้หล้านี้เพื่อเธอ ตอนที่ 3

ดินแดนเหนือฟ้า  ใต้หล้านี้เพื่อเธอ
…The land before time…
       “ไม่ว่ามนุษย์หรือโลก ทุกที่ต่างมีหัวใจ”



บทที่ 3 หยกเหอเสวี่ย
           
ณ ห้องพักเรือนรับรองขององค์ชายถิงยื่อ


          วันนี้เป็นคืนเดือนมืด พระจันทร์เป็นเสี้ยวเล็กๆอยู่บนท้องฟ้า เปรียบเหมือนชะตาขององค์ชายของดินแดนเยว่ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร หากแต่องค์ชายตัวใหญ่ยังคงนอนไม่หลับ ได้แต่เดินไปเดินมาภายในห้องนั้นมาหลายชั่วยามแล้ว เขายังคงคิดไม่ออกว่าจะหาทางช่วยเฟิงเยว่ได้อย่างไร 

พยายามไปขอร้ององค์ราชา ท่านก็บ่ายเบี่ยงบอกว่าขอเวลาก่อน ตอนนี้เขาร้อนใจประหนึ่งพระอาทิตย์ในฤดูร้อนเลยทีเดียว พลันก็มีเสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงกระซิบที่เขาคุ้นเคย

“พี่ถิงถิง ข้าเอง เซียงเซียง ข้ามากับพี่เทียนอวิ๋น ท่านเปิดประตูให้พวกข้าหน่อย” องค์หญิงน้อยที่ตอนนี้เจริญวัยขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้วเอ่ยเรียกพี่ชาย


ถิงถิงไม่รอช้ารีบไปเปิดประตูห้องพร้อมกับดึงน้องสาวตัวเองเข้ามา โดยไม่ทันสังเกตว่าแขนอีกข้างนั้นถูกจับโดยใครอีกคนที่มาด้วยกัน

“พวกเจ้ามีอะไร ตกลงหาทางช่วยเฟิงเฟิงได้มั้ยเทียนอวิ๋น เจ้าเป็นความหวังของข้าเลยนะ คนดินแดนอวิ๋น ไม่ได้ร้องเพลงจนคนหลับใหลได้หรอกรึ เจ้าบอกว่าจะช่วยเฟิงเฟิง แล้วไหงมาอยู่กับเซียงเซียงได้” คราวนี้แหละที่สายตาเขาพลันไปเห็นมือที่จับกันของทั้งคู่

                เมื่อถูกมอง เทียนอวิ๋นจึงรู้ตัวแล้วปล่อยมือออกจากเซียงยื่อ “ก็ถ้าไม่ได้ข้า มีรึพวกเราจะได้สิ่งนี้ออกมา”

แล้วเซียงเซียงก็ชูลูกกุญแจที่มีลักษณะเก่ามาก บ่งบอกว่าผ่านการใช้งานมานานพร้อมกับยิ้มแบบมีชัยเหนือพี่ชาย

“เจ้า พวกเจ้า พวกเจ้าเอากุญแจมาได้ เจ้าทำได้แล้ว ดีล่ะ ขอข้า ข้าจะไปช่วยเฟิงเฟิงออกมา” ถิงยื่อไม่รอช้าทำท่าจะคว้ากุญแจออกจากมือน้องสาวทันที

“แหม!!! ท่านนี่ อะไรกัน พอเป็นเรื่องพี่เฟิงเยว่ทีไร เป็นดูเดือดร้อนไปซะทุกครั้ง ข้ายังไม่ได้ถามพี่เลยนะ ว่าไปเป็นพยานให้เขาได้ยังไง ท่านไปทำอะไรที่ห้องพี่เฟิงเยว่” ปฏิกิริยารวดเร็วทันกันสำหรับพี่น้องคู่นี้เกิดได้บ่อยครั้ง เซียงยื่อหดมือกลับอย่างรวดเร็วไม่ให้โดนแย่งกุญแจไปได้พร้อมกับซ่อนไว้ด้านหลัง

“เอาน่า ไว้ค่อยเล่าวันหลัง ตอนนี้เอากุญแจมาก่อน ข้าจะไปพาเขาออกมา 3 วันแล้วนะ ที่เฟิงเฟิงต้องทนอยู่ในคุกหลวงนั้น จะไปไหนก็ไม่ได้ ตาข่ายเพลิงก็กั้นพลังถอดจิตไว้ด้วย” ถิงยื่อร้อนใจมาก  นี่มัน 3 วันแล้วนะ ที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเฟิงเฟิง ตั้งแต่เรียนด้วยกันมาเกือบ 10 ปี ไม่มีวันไหนที่เขาไม่ได้เจอเฟิงเฟิง แล้วนี่เป็น 3 วันที่อีกคนต้องทนลำบากในคุก ร่างกายขาวซีดอ่อนแอขนาดนั้นจะทนไหวได้ยังไง แค่คิดก็เป็นห่วงมากแล้ว

“ท่านฟังข้าก่อนสิ ข้ามีข้อความลับจากท่านพ่อจะบอก ท่านพ่อรับรู้นะว่าข้าได้กุญแจมาจากผู้คุม ท่านสั่งว่า หากท่านพาพี่เฟิงเยว่ออกมาได้ ให้ไปสืบความจริงที่ห้องอาจารย์ไป๋เป็นอย่างแรกแล้วบอกว่า...เมื่อพบแล้ว จงปล่อยมันไป ตามหาหัวใจแห่งหยกเลือด...”องค์หญิงน้อยกล่าว

“อะไรนะ ปล่อยมันไป ทำไมล่ะ ท่านพ่อ ชอบรู้อะไรแล้วไม่บอกถือว่ากุมความลับทุกอย่างไว้ แล้วตอนข้าไปขอให้ช่วยกลับไม่ยอมช่วย ข้าไม่เข้าใจ” ถิงยื่อบ่นกระปอดกระแปดแต่เมื่อได้กุญแจมาหัวใจเขาก็รู้สึกเหมือนมีพลังอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่รอช้า บุกไปที่คุกหลวงทันที 

เมื่อไปถึงก็พบว่าผู้คุมทุกคนหลับกันหมด เขาแอบหัวเราะในใจ นี่คงเป็นเพราะเพลงกล่อมของเทียนอวิ๋นออกฤทธิ์แน่ๆ เขาเคยเห็นบ่อย แต่ดีนะว่าเขาไม่เคยโดนกับตัวเอง ว่าแล้วใจเขาก็ไปก่อนตัวเองจะถึง เขาพบสภาพคนตาสีฟ้าตรงหน้า นั่งสมาธิและหลับตาสนิท พร้อมกับมีควันสีขาวอยู่รายล้อมรอบตัวอย่างเบาบาง นี่เฟิงเยว่พยายามจะใช้พลังถอดจิตเหรอ มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ ตาข่ายเพลิงไม่ใช่ว่าจะเสื่อมพลังกันได้ง่ายๆ เขาจึงรีบไขกุญแจเข้าไปพร้อมกับเขย่าที่ร่างนั้นด้วยความเป็นห่วง จนอีกฝ่ายลืมตาสีฟ้าขึ้น


“เฟิงเยว่ ไป เจ้าออกไปกับข้า ผู้คุมหลับกันหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วง ท่านพ่อก็รู้ ไม่มีใครมาว่าเจ้าได้หรอก องค์ราชาปล่อยตัวเจ้าแล้ว”ถิงยื่อหยุดเขย่าเพราะรู้สึกได้ว่าเขาใส่แรงเข้าไปด้วยความร้อนใจ

“ไม่ ข้าไม่ไป ถ้าข้าไป ก็เท่ากับว่าข้ายอมรับหน่ะสิว่าข้าเป็นคนทำ เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้าจะหาทางเอง” เฟิงเยว่กล่าวด้วยความดื้อรั้น หากแต่ในใจ เขาคิดถึงคนตรงหน้ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด เขาพยายามมาหลายวันแล้วที่จะถอดจิตออกไปหา ก็ไม่เป็นผลเลย แต่ตอนนี้เจ้าลิงยักษ์กลับมาอยู่ตรงหน้า ถึงจะดีใจ แต่เขาไม่ผิด เขาจะยอมไปไหนไม่ได้

“ไม่ พวกเราไม่ได้หนีความจริงนะ เราจะออกไปสืบหาความจริงกันต่างหาก ท่านพ่ออนุญาตแล้ว ท่านยังบอกว่าให้พวกเราไปห้องอาจารย์ไป๋ก่อน แล้วก็ฝากข้อความมาว่า ถ้าพบแล้ว จงปล่อยมันไป ตามหาหัวใจแห่งหยกเลือด ถึงข้าจะไม่เข้าใจ แต่เอาเป็นว่า ขอให้เจ้าเชื่อข้า ข้าไม่เคยทำร้ายเจ้า เราไปหาคนร้ายตัวจริงกันเถอะ” ถิงยื่อพยายามดึงมือเฟิงเยว่แล้วทำท่าจะลากอีก มาคราวนี้ฝ่ายตรงข้ามทำหน้างง แล้วลุกตามไปแต่โดยดี เหมือนได้สติ

                ถิงยื่อพาเฟิงเยว่มาหยุดที่หน้าประตูห้องอาจารย์ไป๋ จริงๆแล้ว ยังคงมีทหารยามยืนเฝ้าเดินไปเดินมา แต่ถิงยื่อเติบโตมาในวังนี้ เขารู้ทางลัดเลาะเป็นอย่างดีและเหนือสิ่งอื่นใดเขารู้ทางเข้าที่มีกลไกของห้องพักอาจารย์ไป๋ด้วย ซึ่งคนดินแดนอื่นไม่สามารถทำได้ 

คนดินแดนมู่เก่งเรื่องพิษ อาวุธลับ และที่สำคัญค่ายกลต่างๆ ดังนั้นค่ายกลเหล่านี้ถูกนำมาใช้สร้างเรือนรับรองมู่อย่างเป็นความลับ มีแต่องค์ราชาและเขาเท่านั้นที่รู้วิธีเข้าออก เขาจึงพาเฟิงเยว่เข้ามาในห้องอาจารย์ไป๋ได้ โดยไม่มีใครเห็น

 พอเข้ามาภายในห้อง ห้องทั้งห้องยังคงมีสภาพเหมือนวันก่อนที่เฟิงเยว่ถูกจับไป สองคนช่วยกันควานหาหลักฐาน โดยที่ถิงยื่อนั้นสายตาของเขาสามารถมองเห็นในที่มืดได้ นี่เป็นความสามารถพิเศษอีกอย่างที่เขามีเฉกเช่นเดียวกับวิหคเพลิง ดังนั้นอะไรเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวเขาจะจับสังเกตได้ทั้งทางสายตาและความร้อนที่พาดผ่าน 

ส่วนเฟิงเยว่นั้น สายตาเขาเป็นสีฟ้าก็จริง แต่มันจะมองเห็นชัดได้เฉพาะในช่วงที่พระจันทร์สว่างและจะเห็นชัดมากในคืนวันเต็มดวง ดังนั้นในวันนี้เขาได้แต่ลูบๆไปตามโต๊ะหรือเก้าอี้กลางห้องแค่นั้นเอง ยังไม่ทันได้ทำอะไรมาก ร่างใหญ่นั้น เข้ามาโอบที่เอวจากด้านหลัง ปิดปากเขาแล้วพาเข้าไปหลบหลังฉากที่อยู่อีกด้านของเตียง คล้ายกับรู้ความเคลื่อนไหวด้านนอกว่ามีใครกำลังจะเข้ามา

                จังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก เขากำลังจะดิ้น แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงนั้นเขาจึงหยุดดิ้น ปล่อยให้ร่างใหญ่โอบกอดที่เอวของเขาไว้ แต่เขาค่อยๆเอามือแกะมือยักษ์นั่นออกจากปากเขาอย่างเบาๆ เจ้าลิงยักษ์เอามือลงแต่โดยดีพร้อมกับมาโอบที่เอวเขาอีกข้าง คล้ายกับจะสวมกอดเขาจากด้านหลังเพื่อกันไม่ให้เขาเป็นอันตราย

                สายตาเขาถึงแม้จะมองได้ไม่ดีเท่าคนด้านหลังแต่เขาจำลักษณะคนๆนี้ได้ นี่มันหลิงมู่นี่นา ไม่แปลกหรอกที่หลิงมู่จะเข้าได้ เพราะคนดินแดนมู่ เข้าออกได้ด้วยความเข้าใจกลไกเหมือนกัน และอีกอย่างห้องของหลิงมู่ก็อยู่ในเขตเรือนรับรองมู่ที่หันหน้าชนกับห้องอาจารย์ไป๋นี่เอง 

ว่าแต่เขาเข้ามาทำอะไรเนี่ยะ เขาไม่กล้าขยับตัวขืนออกจากแขนถิงยื่อแน่ๆ เพราะถ้าขยับหลิงมู่อาจจะได้ยินทันที เขาจ้องมองเงานั้นที่ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างเบาๆ มานั่งที่ข้างเตียงอาจารย์ไป๋ พร้อมกับทำอะไรก็ไม่รู้ ฉับพลันนั้นใต้เตียงอาจารย์ไป๋กลับเปิดออกมาได้เป็นลักษณะลิ้นชักใหญ่ที่เก็บของเอาไว้ด้านใน นี่สินะความสามารถของคนดินแดนมู่ กลไกมีอยู่ทุกแห่ง ไม่แปลกใจเลยที่หลิงมู่รู้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือเขาเห็นหยกสีแดงที่มือของหลิงมู่ ซึ่งหยิบออกมาจากใต้เตียงนั้นอย่างชัดเจน เพราะมันมีแสงเปล่งประกายออกมาเป็นสีแดงเพลิง มันคือหยกเหอเสวี่ย เขาจำได้อย่างแม่นยำ เพราะแม่ของเขาเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับหยกนี่


“อาจารย์ไป๋ ข้าขอโทษนะ ท่านบังคับข้าเอง ถ้าไม่ใช่ท่านบังคับ ข้าคงไม่ต้องทำเช่นนี้” หลิงมู่กล่าวกับเตียงว่างเปล่านั้น แล้วค่อยๆออกไปจากห้องพร้อมหยกเหอเสวี่ย เฟิงเยว่จึงค่อยหายใจทั่วท้องและสามารถสลัดคนตัวยักษ์ด้านหลังออกมาได้ พร้อมกับมาพยายามหาช่องลับที่เตียงอาจารย์ไป๋อีกรอบ “เจ้าไม่ต้องพยายามหรอก แม้แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าในห้องนี้มีช่องลับอยู่ใต้เตียง ข้ารู้เฉพาะประตูที่เข้ามา แต่พวกเราไม่ใช่คนดินแดนมู่ ดูยังไงก็ดูไม่ออกหรอกนะ ว่าแต่ไอ้ที่สีจ้าๆแดงๆนั่นมันคืออะไรเจ้ารู้มั้ย ท่านพ่อบอกว่า เมื่อพบแล้ว ให้ปล่อยมันไป ตามหาหัวใจแห่งหยกเลือด หมายถึงปล่อยหลิงมู่ไปเหรอ?” ถิงยื่อเหมือนจะปรึกษาเฟิงเยว่ เฟิงเยว่คิดทบทวนแล้วบอกออกไปว่า


“นั่นคือหยกเหอเสวี่ย เป็นหยกที่มาจากดินแดนเหอ ท่านแม่เคยบอกข้าว่า มันเป็นสิ่งที่วิเศษ ให้พรกับเราได้ ในขณะเดียวกัน ก็ฆ่าคนได้ด้วย แต่ว่ามันมาอยู่กับหลิงมู่ได้ยังไงกันนะ หรือว่าข้าควรถอดจิตกลับไปถามท่านแม่ดี”เฟิงเยว่กล่าวและคิดได้ว่าควรจะสืบหาความจริง

“ไม่ เราต้องไม่ทำเช่นนั้น เรื่องนี้มันซับซ้อน เป็นความสัมพันธ์ของหลายดินแดน ข้าว่าเราต้องทำตามที่ท่านพ่อบอก ประโยคสุดท้าย ตามหาหัวใจแห่งหยกเลือด เราต้องไปดินแดนเหอ!!!” ถิงยื่อกล่าวอย่างมั่นใจ ไม่เคยมีครั้งไหนที่ท่านพ่อเล่นทายปริศนา หรือโยนข้อความลับให้เขา แล้วเขาจะไขไม่ออก แม้กระทั่งครั้งนี้ เขามั่นใจ จึงสบตาสีฟ้าคู่นั้นที่ยังคงฟ้าอ่อนเมื่อมองหน้าเขา

“เฟิงเยว่ ไปกันเถอะ”แล้วก็จูงข้อมือเล็กๆนั่นให้เดินตามมาอย่างมึนงง “เราจะไปดินแดนเหอด้วยกันนะ”เขากล่าวแบบไม่รอคำตอบ “ไป ไปดินแดนเหอ ไปได้ยังไง จากนี่ต้องใช้เวลาเดินเท้าตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงนะ” เฟิงเยว่ยังคงถูกลากไปเรื่อยๆ และก้าวออกประตูห้องอาจารย์ไป๋ไปพร้อมกับถิงยื่อ 

ทันใดนั้น พวกเขาทั้งสองก็ต้องชะงัก เมื่อเจอจังๆเข้ากับองค์หญิงหมี่ซิง ที่เดินออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามพร้อมกับจัดผมเผ้าและชุดให้เข้าที่ ก่อนที่จะเงยหน้ามามองกันไปมา 3 คน โดยไม่มีใครกล้าทำเสียงดังออกมาก่อน องค์หญิงหมี่ซิงก็ไม่รอช้า ตะโกนออกไปว่า “ทหารๆ มาจับโจรเร็ว มีโจรอยู่ตรงนี้” และก่อนที่ทหารยามจะวิ่งมา ถิงยื่อคว้าข้อมือเฟิงเยว่ ตรงดิ่งไปยังเขตสัตว์วิเศษวิหคเพลิง พร้อมกับเป่าปากสองครั้ง ทันใดนั้นเฟิงเยว่ก็ต้องตกใจ เพราะเจ้าเอ้อ วิหคเพลิงที่ดูเหมือนจะเป็นตัวโปรดของถิงยื่อก็มาอยู่แทบเท้าตรงหน้า เขางงมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ถิงยื่อไม่รอให้เฟิงเยว่ถามอะไร อุ้มเขาขึ้นไปนั่ง และตัวเองนั่งคร่อมไปด้านหลัง พร้อมกับเกาะเจ้าเอ้ออย่างแน่น แล้วเป่าปากอีก 2 ครั้งเพื่อให้มันบินขึ้นไป…

                เฟิงเยว่เพิ่งเคยบินอยู่เหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมยังอยู่บนหลังวิหคเพลิง นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อในชีวิตที่เขาไม่เคยคิดมาก่อน แถมยังมีคนตัวใหญ่ที่โอบกอดเขาไว้พร้อมกับเกาะวิหคเพลิง เพราะกลัวว่าเขาจะหล่นลงไปถ้าตัวเองยึดเอาไว้ไม่ดี ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน 

เขาอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป เขามีความสุขมากที่ได้นั่งอยู่แบบนี้ แต่ทันใดนั้น เสียงเจ้าเอ้อ ก็ร้องขึ้นสองครั้ง ถิงยื่อจึงกระซิบที่ข้างหูเขา “เฟิงเฟิง เราต้องโดดตรงนี้ เราถึงดินแดนเหอแล้ว”
“ฮะ อะไรนะ โดดตรงนี้ ข้างล่างนั่นเป็นน้ำทั้งนั้นเลยนะ อีกอย่าง ข้าไม่เคยว่ายน้ำ ข้าจมลงไปในน้ำแบบนี้ไม่ได้เจ้าก็รู้” เขาตะโกนโวยวาย เป็นครั้งแรกที่เขาพูดแบบนี้ เพราะน้ำกับคนดินแดนเยว่ เป็นของที่ไม่ถูกกัน เฟิงเยว่ไม่อยากคิดว่าเขาจะเป็นยังไง เป็นครั้งแรกที่เขากลัว กลัวมากจริงๆ...
 “เจ้าไม่ต้องกลัวนะ มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าไม่มีวันจะปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่ๆ ข้าสัญญา เราต้องโดดแล้ว เพราะเจ้าเอ้อให้สัญญาณข้าแล้ว” ทันใดนั้นเองที่โลกหมุนคว้างกลับตาลปัตร เฟิงเยว่รู้สึกได้แค่มือของคนอีกคนที่จับเขาเอาไว้อย่างแน่น แล้วเขาก็จมลงไปสู่ท้องน้ำด้านล่าง ฉับพลันเขาก็ผุดขึ้นมาด้วยแรงกระแทกจากน้ำด้านล่างที่สะท้อนกลับ เขาตะเกียกตะกายอยากจะเอาชีวิตรอด แต่คนข้างๆก็กอดคอเขาเอาไว้ แล้วพาเขาเข้าฝั่งอย่างง่ายดาย ถิงยื่อไม่เคยกลัวอะไรเลยเหรอเนี่ยะ เฟิงเยว่คิดอยู่ในใจ แต่นาทีนั้น ความเย็นของน้ำได้แผ่เข้าสู่ร่างกายของเขา เขารู้สึกว่าร่างกายเขานั้นเย็นกว่าเดิมอีกหลายเท่าเลย

                เมื่อขึ้นมาบนฝั่ง ตอนนี้สมองของเฟิงเยว่ไม่สั่งการแล้ว แต่ร่างกายเขาที่เย็นเฉียบยังคงเดินตามถิงยื่อ ผู้ที่มีพลังสีแดงเบาๆปล่อยความร้อนออกมาทั่วร่าง ร่างกายจึงรับรู้ถึงความอบอุ่นได้เมื่ออยู่ใกล้ เขาจึงเดินตามไปอย่างเงียบๆพร้อมเอามือกอดอกไว้อย่างแน่นด้วยความหนาว ถิงยื่อหันมาตะโกนดีใจบอกว่า

“เฟิงเฟิง เจ้าเดินไหวมั้ย ข้างหน้านั่นมีถ้ำอยู่ ข้าเห็น เราน่าจะเข้าไปพักในนั้นได้ ก่อนจะเช้า เจ้าพยายามอยู่ใกล้ๆข้าไว้นะ จะได้อุ่นขึ้น” พูดเสร็จเขาก็เอาลำแขนอันแข็งแรงโอบกอดเฟิงเยว่เอาไว้อย่างมั่นคงและพยุงเดินไปจนถึงถ้ำที่ว่า

“เฟิงเฟิง ข้าจะจุดไฟตรงนี้นะ เจ้าจะได้อุ่นขึ้นมา ตรงนี้มีหินก้อนใหญ่ ข้าจะทำให้หินอุ่น และเจ้าก็นั่งบนหินนี่ มันใหญ่พอที่เจ้าจะนอนพักได้นะ” เขาไม่พูดเปล่ายกเฟิงเยว่นั่งบนหิน แล้วหันไปทำทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ไฟกองเล็กๆถูกจุดตรงหน้า ไม่แปลกเลยที่เขาจะเป็นคนดินแดนยื่อ ทุกอย่างอุ่นขึ้นมาก 

ภายในถ้ำเมื่อสว่าง กลับมีหินงอกหินย้อย ที่มีน้ำหลงเหลืออยู่สะท้อนแสงไปมา ราวกับดวงดาว สวยงามมากถิงยื่อมองไปแล้วก็กลับมามองหน้าเฟิงเยว่ชัดๆ ที่มองเขาตอบพร้อมสายตาที่ส่งออกมาแทนคำขอบคุณ “เฟิงเฟิง ทำไมเจ้า!!! เจ้าๆหน้าซีดเป็นกระดาษแบบนี้ เจ้าหนาวมากใช่มั้ย เจ้าไหวรึเปล่า แล้วดูตัวเจ้าสิ เปียกขนาดนี้ เจ้าสั่นไปหมดเลย นี่ปากเจ้ากลายเป็นสีม่วงแล้ว” 

เฟิงเยว่รู้สึกชาไปหมดทั้งตัว และตัวเขาสั่นหรือหน้าตาเขาเป็นสีอะไรตอนนี้เขาไม่รับรู้ สิ่งที่รู้มีเพียงอย่างเดียวคือสีหน้าของคนตรงหน้าที่ดูแดงและร้อนรนอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าจะตอบอะไรได้ ตอนนี้หน้าของถิงยื่อที่ยืนอยู่หน้าก้อนหินที่เขานั่งนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้าของเขาพอดีเพราะถิงยื่อตัวสูงกว่ามากและยืนเบียดบริเวณต้นขาของเขาอยู่


ทันใดนั้น พลังความร้อนจากใบหน้านั้นมันก็เข้ามาใกล้หน้าเขาเรื่อยๆ จนปากค่อยๆมาประกบกันอย่างแผ่วเบา ไม่ใช่แค่นั้น เจ้าของปากที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆเอามือมาจับมือของเขาที่กอดตัวเองไว้ออก แล้ววางไว้ข้างลำตัว เฟิงเยว่ทิ้งมือลงตามอย่างไม่ขัดขืน เพราะเขาในตอนนี้ไม่มีแรงที่ต่อต้าน 

จริงๆ เขาเต็มใจที่จะให้มือและปากนั้น ช่วยให้ความอบอุ่นแก่เขาได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้น มืออันแข็งแรงแต่ไม่หยาบกระด้างก็ค่อยๆบรรจงโอบกอดไปด้านหลังเพื่อปลดเข็มขัดออก โดยที่ปากนั้นก็ยังคงค่อยๆบดคลึงไปมาเบาๆอยู่ตลอดเวลา 

ตอนนี้เฟิงเยว่รู้สึกหนาวน้อยลง เขารู้สึกตัวมากขึ้น จึงประกบปากแน่นเข้า คล้ายจะบอกกับอีกฝ่ายว่า เขายินยอมแล้วในคราวนี้ เมื่อรู้สึกตัวดังนั้นคนตัวใหญ่จึงไม่รอช้า เขารับรู้ได้ว่าเฟิงเยว่ยินดีต้อนรับเขาในคืนนี้ ด้วยแรงปรารถนาที่ยังค้างคามาจากคราวก่อน 

ประกอบกับแรงคิดถึงที่ไม่เจอหน้าและตาคู่นี้หลายวัน ทำให้เขารู้สึกอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของทั้งตัวและจิตใจของร่างกายเย็นเฉียบที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ แต่เขาจะไม่ทำให้บอบช้ำ เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเพิ่งผ่านเวลาแห่งความกลัวและความหนาวในจิตใจเพียงใด 

เขาจะใช้ความอบอุ่นจากตัวเขา ค่อยๆถ่ายเทไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ดังนั้นมือใหญ่แข็งแรงนั้นจึงค่อยๆบรรจงเอาเสื้อคลุมที่เปียกโชกของอีกฝ่ายออก เผยให้เห็นเรือนร่างด้านบนอันอวบอัด คล้ายหญิงสาว แต่ทว่าดูแข็งแรง เหมือนคนที่ฝึกฝนวิชามาพอสมควร 

เขาถอนปากออกมาจากอีกฝ่ายเพื่อต้องการจะจ้องมองหน้า และสีตา รวมทั้งเรือนร่างตรงหน้าให้ชัด มันกระตุ้นพลังในตัวเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่อยากปล่อยมันผ่านไปอีก จึงเอามือวางทับมืออีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พร้อมกับคำถามที่คล้ายวันก่อนว่า “เฟิงเฟิง คืนนี้ เจ้าพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของข้ารึยัง” 

จริงๆเขาไม่ต้องถามก็ได้ เขาแอบยิ้มอย่างรู้ทันว่าคำตอบคราวนี้ต้องไม่เหมือนคราวก่อนแน่ๆ ตอนนี้ร่างกายคนตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูด้วยพลังของเขาที่แผ่เข้าไปอย่างเต็มที่ คนตรงหน้าไม่ตอบ แต่พยักหน้าอย่างช้าๆแล้วเงยหน้าสบตาคู่สวยตรงหน้าพร้อมกับพูดว่า 

“เสื้อผ้าเจ้าเปียก เจ้าไม่ถอดออกก่อนเหรอ เดี๋ยวจะไม่สบาย แถมยังต้องมาถ่ายเทความร้อนให้ข้าอีก” ถิงยื่อได้ยินแบบนี้ ดีใจยิ่งกว่าได้ครองดินแดนเหนือฟ้า เขาเลยส่งสายตาคมกริบพร้อมกับยิ้มมุมปากที่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้จริงๆ 

“ เจ้าก็ถอดให้ข้าสิ ข้าถ่ายเทความร้อนให้ แถมยังถอดเสื้อให้อีก เจ้าไม่เอาเปรียบข้าไปหน่อยรึ” ถิงยื่อยังไม่วายทำหน้าทะเล้น และยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้นพร้อมกับพูดเบาๆว่า “อย่าเอาเปรียบกันสิ นะๆๆ” น้ำเสียงออดอ้อนของเขา ทำให้เฟิงเยว่แทบจะละลาย 

ไม่รู้ว่าด้วยความร้อนหรือว่าจิตใจของเขาที่พร้อมจะพ่ายแพ้แล้วในตอนนี้  เขาจึงค่อยๆเอามือไปปลดเข็มขัดคนตัวยักษ์ด้านหน้าออก พร้อมกับเอามือเล็กๆ ค่อยๆแหวกเสื้อคลุมออก สัมผัสที่แผ่นอกกว้างและลูบไล้ไปอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆเอามือโอบรัดที่ต้นคอแล้วโน้มลงมาเบาๆ                 

เมื่อความเย็นจากมือเล็กๆ เข้ามาถูกตัวถิงยื่ออีกครั้ง มันเป็นแรงกระตุ้นให้เขาถาโถมทุกอย่างเขาใส่อีกฝ่ายไม่ต่างจากตอนที่กระโดดลงมาจากวิหคเพลิง ทั้งสองได้ปล่อยให้ทุกอย่างเข้าสู่สมดุล ทั้งความร้อนและความเย็น ตอนนี้ได้ไหลวนเวียนไปมาจากทั้งสองร่าง เวลาผ่านไปนานเท่าใดเฟิงเยว่ไม่ได้คิด เขาได้ยอมคนๆนี้ทั้งตัวและจิตใจแล้วจริงๆ เขาพยายามต่อต้านมากี่ครั้งแล้วนะ แต่คราวนี้ เขาไม่สามารถจะต่อต้านได้อีกต่อไป...


                นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้เฟิงเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองมีเสื้อคลุมห่มเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาไว้ ด้านข้างว่างเปล่า ภายในถ้ำเริ่มจะมีแสงมากขึ้นแสดงให้เห็นว่าใกล้เช้าแล้ว อะไรกัน!!! เขาลุกขึ้นมาอย่างตกใจ ถิงยื่อไปไหน เขาไปไหน เขารู้ว่าถิงยื่อไม่มีวันทิ้งเขา แต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เขาควรทำอย่างไรต่อดี นี่เป็นที่ๆเขาไม่รู้จัก เขาควรออกไปตามมั้ย หรือว่ารอถิงยื่ออยู่ที่นี่ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้ ตอนนี้คนที่เคยคิดจะแสดงความกล้าหาญให้คนทั้งดินแดนเหนือฟ้าได้เห็น กลับไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอย่างไร...

                                                                                                                โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น