…The land before time…
“หากอยากเห็นทุกอย่างแจ่มชัด ให้อยู่ในที่สูงเสมอ”
บทที่ 5 ไข่มุกเลี่ยงซิน
ณ ห้องโถงวังดินแดนเหอ
ภายในเขตวังของดินแดนเหอนั้น ต่างจากดินแดนยื่อมากมาย ทุกอย่างประดับประดาไปด้วยสิ่งของที่มาจากทะเล ทั้งเปลือกหอยสีสวย ปะการังสีสันสะดุดตา ไม่ต่างอะไรกับดินแดนใต้ท้องทะเล สิ่งที่บอกว่าที่แห่งนี้เป็นที่ประทับขององค์ราชาและราชินีแห่งดินแดนเหอ เนื่องจากมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ตามหมู่บ้านชาวประมงหรือหมู่บ้านธรรมดาอาจจะไม่มี แต่ที่นี่มีน้ำจากแม่น้ำตงเหอที่ใส่ดอกไม้ไปอีกเป็นร้อยๆชนิด ทำให้ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ไปทั่ว นี่เป็นสูตรที่ใช้กันเฉพาะในวังเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขตวังจะดูสงบและหอมอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทว่าผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ กลับมีความโมโหและรู้สึกหงุดหงิด เมื่อมีแม่เฒ่ามาถามซักไซ้
“แม่เฒ่าตงสุ่ย ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่า ถ้ามีอะไร ข้าจะไปหาท่านเอง เหตุใดท่านยังต้องเดินทางมาถึงนี่อีก แล้วก็ขอโทษเถอะนะ กลิ่นตัวของท่านมันติดกลิ่นโคลนจากแม่น้ำที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าใดนัก ท่านรู้ตัวหรือไม่”
“ข้าแต่องค์ราชา หากข้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ข้าคงไม่ตากหน้ามาถึงนี่ ข้าแม่เฒ่าตงสุ่ย ยามมีประโยชน์ท่านก็ไปหา ไปถามไถ่ ยามหมดประโยชน์ เหตุใดท่านจึงมีน้ำเสียงดูแคลนข้าเช่นนี้เล่า” แม่เฒ่ากล่าวเป็นเชิงต่อว่า ถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นองค์ราชาก็ไม่หวั่นไหวใดๆ เพราะนางมีอายุเป็นร้อยปีแล้ว จะมาให้เด็กเมื่อวานซืนต่อว่าฝ่ายเดียวได้อย่างไร
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่ท่านเคยช่วยเหลือข้าไว้หลายเรื่อง ท่านสงสัยเรื่องใด ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบแล้วกัน”องค์ราชากล่าวเหมือนจะเสียไม่ได้
“ข้าอยากทราบว่า หลายปีก่อน ข้าได้เคยบอกความลับท่านไป เมื่อท่านมาถามเรื่องเมล็ดต้นเหอเสวี่ย ว่ามันอยู่ที่ไหน และนำไปทำอะไรได้บ้าง ซึ่งบัดนี้ ข้าทราบว่าท่านได้ไปเอามันกลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ เมล็ดนั้นอยู่ที่ใด ข้าจะขอนำกลับไปที่หมู่บ้าน ศึกษาและทำยา เพื่อรักษาคนที่ได้รับพิษองุ่นแดง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายในดินแดนเราอีกได้หรือไม่”
“ดินแดนเรา ฮึๆ ท่านพูดว่าดินแดนเรา ดินแดนนี้เป็นของข้า เหตุใดท่านจึงบอกว่านี่เป็นดินแดนเรา ข้าจะบอกให้ท่านรู้ไว้นะ เมล็ดเหอเสวี่ยนั้น ถึงแม้มันจะช่วยคนได้ แต่มันก็ฆ่าคนได้เช่นกัน ซึ่งข้าได้นำมันฝังไว้ในหยกและมอบให้กับองค์หญิงสุ่ยเก๋อ ไปแล้ว เพื่อทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องรู้ เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องดีต่อดินแดนแล้วกัน แล้วตอนนี้ลูกสุ่ยเก๋อก็ไปเรียนที่ดินแดนยื่อ ดังนั้นเมล็ดเหอเสวี่ยข้าจึงไม่มี ท่านก็รออีก 100 ปีให้มันออกเมล็ดใหม่ก็แล้วกันนะ แม่เฒ่า”องค์ราชากล่าวอย่างไม่สนใจสีหน้าแม่เฒ่า ที่ตอนนี้เริ่มโมโหอยู่ในใจ ที่บอกความลับเรื่องเกี่ยวกับเมล็ดเหอเสวี่ยแก่องค์ราชา “งั้นข้าก็ไม่ขอพูดอะไรกับท่านอีก ข้าลาล่ะ หวังว่าท่านคงไม่ต้องไปหาข้าถึงหมู่บ้านอีกก็แล้วกัน”
ณ ห้องโถงวังดินแดนเหอ
ภายในเขตวังของดินแดนเหอนั้น ต่างจากดินแดนยื่อมากมาย ทุกอย่างประดับประดาไปด้วยสิ่งของที่มาจากทะเล ทั้งเปลือกหอยสีสวย ปะการังสีสันสะดุดตา ไม่ต่างอะไรกับดินแดนใต้ท้องทะเล สิ่งที่บอกว่าที่แห่งนี้เป็นที่ประทับขององค์ราชาและราชินีแห่งดินแดนเหอ เนื่องจากมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่ว ตามหมู่บ้านชาวประมงหรือหมู่บ้านธรรมดาอาจจะไม่มี แต่ที่นี่มีน้ำจากแม่น้ำตงเหอที่ใส่ดอกไม้ไปอีกเป็นร้อยๆชนิด ทำให้ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ไปทั่ว นี่เป็นสูตรที่ใช้กันเฉพาะในวังเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขตวังจะดูสงบและหอมอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ทว่าผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ กลับมีความโมโหและรู้สึกหงุดหงิด เมื่อมีแม่เฒ่ามาถามซักไซ้
“แม่เฒ่าตงสุ่ย ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่า ถ้ามีอะไร ข้าจะไปหาท่านเอง เหตุใดท่านยังต้องเดินทางมาถึงนี่อีก แล้วก็ขอโทษเถอะนะ กลิ่นตัวของท่านมันติดกลิ่นโคลนจากแม่น้ำที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าใดนัก ท่านรู้ตัวหรือไม่”
“ข้าแต่องค์ราชา หากข้าไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ ข้าคงไม่ตากหน้ามาถึงนี่ ข้าแม่เฒ่าตงสุ่ย ยามมีประโยชน์ท่านก็ไปหา ไปถามไถ่ ยามหมดประโยชน์ เหตุใดท่านจึงมีน้ำเสียงดูแคลนข้าเช่นนี้เล่า” แม่เฒ่ากล่าวเป็นเชิงต่อว่า ถึงแม้คนตรงหน้าจะเป็นองค์ราชาก็ไม่หวั่นไหวใดๆ เพราะนางมีอายุเป็นร้อยปีแล้ว จะมาให้เด็กเมื่อวานซืนต่อว่าฝ่ายเดียวได้อย่างไร
“เอาเถอะ เห็นแก่ที่ท่านเคยช่วยเหลือข้าไว้หลายเรื่อง ท่านสงสัยเรื่องใด ถ้าข้ารู้ข้าจะตอบแล้วกัน”องค์ราชากล่าวเหมือนจะเสียไม่ได้
“ข้าอยากทราบว่า หลายปีก่อน ข้าได้เคยบอกความลับท่านไป เมื่อท่านมาถามเรื่องเมล็ดต้นเหอเสวี่ย ว่ามันอยู่ที่ไหน และนำไปทำอะไรได้บ้าง ซึ่งบัดนี้ ข้าทราบว่าท่านได้ไปเอามันกลับมาแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ เมล็ดนั้นอยู่ที่ใด ข้าจะขอนำกลับไปที่หมู่บ้าน ศึกษาและทำยา เพื่อรักษาคนที่ได้รับพิษองุ่นแดง เพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายในดินแดนเราอีกได้หรือไม่”
“ดินแดนเรา ฮึๆ ท่านพูดว่าดินแดนเรา ดินแดนนี้เป็นของข้า เหตุใดท่านจึงบอกว่านี่เป็นดินแดนเรา ข้าจะบอกให้ท่านรู้ไว้นะ เมล็ดเหอเสวี่ยนั้น ถึงแม้มันจะช่วยคนได้ แต่มันก็ฆ่าคนได้เช่นกัน ซึ่งข้าได้นำมันฝังไว้ในหยกและมอบให้กับองค์หญิงสุ่ยเก๋อ ไปแล้ว เพื่อทำภารกิจบางอย่าง ซึ่งท่านไม่จำเป็นต้องรู้ เอาเป็นว่ามันเป็นเรื่องดีต่อดินแดนแล้วกัน แล้วตอนนี้ลูกสุ่ยเก๋อก็ไปเรียนที่ดินแดนยื่อ ดังนั้นเมล็ดเหอเสวี่ยข้าจึงไม่มี ท่านก็รออีก 100 ปีให้มันออกเมล็ดใหม่ก็แล้วกันนะ แม่เฒ่า”องค์ราชากล่าวอย่างไม่สนใจสีหน้าแม่เฒ่า ที่ตอนนี้เริ่มโมโหอยู่ในใจ ที่บอกความลับเรื่องเกี่ยวกับเมล็ดเหอเสวี่ยแก่องค์ราชา “งั้นข้าก็ไม่ขอพูดอะไรกับท่านอีก ข้าลาล่ะ หวังว่าท่านคงไม่ต้องไปหาข้าถึงหมู่บ้านอีกก็แล้วกัน”
แม่เฒ่าคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดคุยกันต่อไป ในเมื่อของที่นางอยากได้ ไม่อยู่ที่นี่ซะแล้ว นางจึงอำลาและตรงกลับหมู่บ้านทันที เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านในช่วงเช้าตรู่ก็พบสองพี่น้องตระกูลเมา มาดักรออย่างกระวนกระวาย จึงเอ่ยทักทาย
“อ้าว เจ้าทั้งสองมาทำอะไร แล้วทำไม ฮวาเมา เจ้าต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้น”
“ฮือๆ แม่เฒ่า ท่านกลับมาแล้ว ข้าดีใจจังเลย พี่ชาย พี่ชายคนนึงกะพี่สาวเอ้ย พี่ชายอีกคน เค้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว ท่านช่วยไปดูที” เด็กหญิงน้อย ผู้ซึ่งเฝ้าดูถิงเยว่และเฟิงเยว่มาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จนกระทั่งรู้สึกผูกพันกับสองคนนี้เป็นอย่างมาก พูดบอกแม่เฒ่าพร้อมเสียงพร่าในลำคอ เพราะดีใจที่เห็นแม่เฒ่าซะที
“อะไรกัน นี่กวงเมา น้องสาวเจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ พี่ชาย พี่สาวไหนหรือพี่ชาย ตกลงมีกันกี่คน ใครเป็นอะไรฮึ”
“แม่เฒ่า ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรมาก ตกลงท่านได้เมล็ดเหอเสวี่ยมามั้ย ตอนนี้มีน้องชายคนนึง เค้าถูกพิษองุ่นแดงมาจากมันอีกแล้ว” ได้ยินดังนั้นแม่เฒ่าจึงรีบตามไปทั้งที่ยังไม่ได้ตอบอะไรสองคนพี่น้อง เมื่อไปถึงนางเห็นชายหน้าตาดีสองคน ดูจากลักษณะท่าทางและหน้าตา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ และเมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้า นางรู้ทันทีว่าผู้ชายรูปร่างค่อนข้างอวบอัด แต่พอเหมาะพอเจาะรับกับใบหน้าสวยๆเช่นนี้ ต้องเป็นคนที่ฮวาเมาเรียกว่าพี่สาวแน่ๆ ซึ่งเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์ชายเฟิงเยว่แห่งดินแดนเยว่ หลังจากนั้นนางจึงได้ขอจับชีพจร และตรวจดูร่างกายที่เป็นสีชมพูเกือบแดงที่หายใจเบาๆ มีเสียงพึมพำๆตลอดเวลา พบว่าร่างกายนี้ค่อนข้างแข็งแรง น่าจะผ่านการฝึกฝนสรรพวิชาหลายอย่าง จนกระทั่งมีกำลังภายในแข็งกล้าและความร้อนที่รุนแรงมากแบบนี้ บ่งบอกว่าเขาคือองค์ชายถิงยื่อ ทายาทคนสำคัญของดินแดนยื่อแน่ๆ แม่เฒ่าทราบดี แต่ทว่าตอนนี้กำลังภายในเดินสายกลับไปมาด้วยหลายส่วน อีกทั้งมีไอร้อนและเย็นผสมกันมั่วไปหมด นางจึงหันไปถามเฟิงเยว่ว่า “นี่เขาถูกพิษมากี่วันแล้ว” “วันนี้ก็จะเข้าวันที่ 4 แล้วท่านแม่เฒ่า” เฟิงเยว่ตอบ สายตาเขาตอนนี้ เหมือนมีน้ำตาคลอตลอดเวลา และเป็นสีฟ้าจางมากๆ เหมือนใกล้จะหมดแรงตามคนตรงหน้าไปด้วย “เอาอย่างนี้นะ ข้าขอคุยกับเจ้า ข้าต้องการสมาธิและสอบถามอะไรบางอย่าง ดังนั้นเจ้าสองพี่น้องออกไปข้างนอกก่อน”แม่เฒ่ากล่าวก่อนจะไล่ให้สองพี่น้องออกไป “ไม่ๆๆ ข้าอยากดูพี่ถิงยื่อ ข้าเป็นห่วงนะ ไม่ๆๆ” ฮวาเมาตะโกน หากแต่พี่ชายไม่ปล่อยให้น้องสาวเกะกะการรักษาแน่ๆ เขาจึงรีบอุ้มนางออกไปรอด้านนอกตามคำสั่งแม่เฒ่า
“ฟังนะองค์ชายเฟิงเยว่ ข้าไม่สามารถหาเมล็ดเหอเสวี่ยมารักษาองค์ชายถิงยื่อได้ ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังวันหลัง แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าจะบอกคือ ข้ามีแต่ยาที่พอจะรักษาชีวิตองค์ชายถิงยื่อไว้ได้อีกสักพัก จนกว่าท่านจะไปตามหาเมล็ดเหอเสวี่ยเจอ” แม่เฒ่าต้องการถามความสมัครใจของเฟิงเยว่ก่อนกว่าแค่นี้พอใจหรือไม่ “ได้ท่านว่ามาเลย ไม่ว่าอะไร ถ้าสามารถช่วยถิงถิงได้ ขอแค่เขาดีขึ้นแล้วมีทางยื้อเวลาได้ ข้ายินดี” แม่เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวต่อว่า
“ฮือๆ แม่เฒ่า ท่านกลับมาแล้ว ข้าดีใจจังเลย พี่ชาย พี่ชายคนนึงกะพี่สาวเอ้ย พี่ชายอีกคน เค้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว ท่านช่วยไปดูที” เด็กหญิงน้อย ผู้ซึ่งเฝ้าดูถิงเยว่และเฟิงเยว่มาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จนกระทั่งรู้สึกผูกพันกับสองคนนี้เป็นอย่างมาก พูดบอกแม่เฒ่าพร้อมเสียงพร่าในลำคอ เพราะดีใจที่เห็นแม่เฒ่าซะที
“อะไรกัน นี่กวงเมา น้องสาวเจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ พี่ชาย พี่สาวไหนหรือพี่ชาย ตกลงมีกันกี่คน ใครเป็นอะไรฮึ”
“แม่เฒ่า ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรมาก ตกลงท่านได้เมล็ดเหอเสวี่ยมามั้ย ตอนนี้มีน้องชายคนนึง เค้าถูกพิษองุ่นแดงมาจากมันอีกแล้ว” ได้ยินดังนั้นแม่เฒ่าจึงรีบตามไปทั้งที่ยังไม่ได้ตอบอะไรสองคนพี่น้อง เมื่อไปถึงนางเห็นชายหน้าตาดีสองคน ดูจากลักษณะท่าทางและหน้าตา ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ และเมื่อเห็นนัยน์ตาสีฟ้า นางรู้ทันทีว่าผู้ชายรูปร่างค่อนข้างอวบอัด แต่พอเหมาะพอเจาะรับกับใบหน้าสวยๆเช่นนี้ ต้องเป็นคนที่ฮวาเมาเรียกว่าพี่สาวแน่ๆ ซึ่งเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากองค์ชายเฟิงเยว่แห่งดินแดนเยว่ หลังจากนั้นนางจึงได้ขอจับชีพจร และตรวจดูร่างกายที่เป็นสีชมพูเกือบแดงที่หายใจเบาๆ มีเสียงพึมพำๆตลอดเวลา พบว่าร่างกายนี้ค่อนข้างแข็งแรง น่าจะผ่านการฝึกฝนสรรพวิชาหลายอย่าง จนกระทั่งมีกำลังภายในแข็งกล้าและความร้อนที่รุนแรงมากแบบนี้ บ่งบอกว่าเขาคือองค์ชายถิงยื่อ ทายาทคนสำคัญของดินแดนยื่อแน่ๆ แม่เฒ่าทราบดี แต่ทว่าตอนนี้กำลังภายในเดินสายกลับไปมาด้วยหลายส่วน อีกทั้งมีไอร้อนและเย็นผสมกันมั่วไปหมด นางจึงหันไปถามเฟิงเยว่ว่า “นี่เขาถูกพิษมากี่วันแล้ว” “วันนี้ก็จะเข้าวันที่ 4 แล้วท่านแม่เฒ่า” เฟิงเยว่ตอบ สายตาเขาตอนนี้ เหมือนมีน้ำตาคลอตลอดเวลา และเป็นสีฟ้าจางมากๆ เหมือนใกล้จะหมดแรงตามคนตรงหน้าไปด้วย “เอาอย่างนี้นะ ข้าขอคุยกับเจ้า ข้าต้องการสมาธิและสอบถามอะไรบางอย่าง ดังนั้นเจ้าสองพี่น้องออกไปข้างนอกก่อน”แม่เฒ่ากล่าวก่อนจะไล่ให้สองพี่น้องออกไป “ไม่ๆๆ ข้าอยากดูพี่ถิงยื่อ ข้าเป็นห่วงนะ ไม่ๆๆ” ฮวาเมาตะโกน หากแต่พี่ชายไม่ปล่อยให้น้องสาวเกะกะการรักษาแน่ๆ เขาจึงรีบอุ้มนางออกไปรอด้านนอกตามคำสั่งแม่เฒ่า
“ฟังนะองค์ชายเฟิงเยว่ ข้าไม่สามารถหาเมล็ดเหอเสวี่ยมารักษาองค์ชายถิงยื่อได้ ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านฟังวันหลัง แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าจะบอกคือ ข้ามีแต่ยาที่พอจะรักษาชีวิตองค์ชายถิงยื่อไว้ได้อีกสักพัก จนกว่าท่านจะไปตามหาเมล็ดเหอเสวี่ยเจอ” แม่เฒ่าต้องการถามความสมัครใจของเฟิงเยว่ก่อนกว่าแค่นี้พอใจหรือไม่ “ได้ท่านว่ามาเลย ไม่ว่าอะไร ถ้าสามารถช่วยถิงถิงได้ ขอแค่เขาดีขึ้นแล้วมีทางยื้อเวลาได้ ข้ายินดี” แม่เฒ่าได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวต่อว่า
“งั้นท่านฟังข้านะ ตอนนี้ข้ามีแค่ไข่มุกเลี่ยงซิน ไข่มุกเลี่ยงซินข้ามีแค่ 1 เม็ดเท่านั้น หลังจากได้พลังจากไข่มุกเลี่ยงซิน เขาต้องได้รับพลังจากเมล็ดเหอเสวี่ยด้วย เขาจึงจะหายขาดจากพิษชนิดนี้ แต่ข้อที่ท่านต้องทำคือ ไข่มุกนี้ต้องใช้พลังจาก 2 คนที่มีความผูกพันกัน ชะตาของท่านทั้งสองที่ข้าเคยทำนายไว้ ผูกกันไว้ด้วย 2 ส่วน หนึ่งคือร่างกาย และสองคือจิตใจ ร่างกายอยู่ใจอยู่ ร่างกายสลาย ใจสลาย และท่านทั้งสองคือผู้ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงคำทำนายที่เคยมีแต่เก่าก่อน ท่านทราบหรือไม่ว่าวิหคเพลิงเหตุใดจึงเป็นสัตว์วิเศษแห่งดินแดนฟ้า” แม่เฒ่าอธิบายยืดยาวแต่มาสิ้นสุดที่คำถาม “ท่านแม่เฒ่า เหตุใดท่านถามเหมือนที่อาจารย์ไป๋ถามเลยล่ะ ข้าไม่ทราบ เพราะยังไม่ทันรู้คำตอบ อาจารย์ไป๋ก็สิ้นใจไปแล้ว” เฟิงเฟิงยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่ เมื่อคำถามนี้มาอีกแล้ว “ฮะ ตกลงอาจารย์ไป๋จือฮวาสิ้นแล้วจริงๆรึ มิน่าหลายวันก่อน ดวงดาวประจำตัวเขาถึงได้ดับวูบไป ข้าก็คิดไว้ในใจ แต่ยังไม่ทราบข่าว” เฟิงเฟิงร้อนใจเรื่องยาของถิงยื่อมากกว่า เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนจึงรีบถามไปว่า “ท่านแม่เฒ่าท่านรีบบอกมาเถิด ตกลงท่านจะให้ข้าทำอะไรกันแน่ เอาไข่มุกให้เขากินใช่มั้ย ท่านเอามาสิ จะได้รีบรักษาเขาให้หาย” แม่เฒ่าต้องบอกถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด “เอาล่ะก็ได้ การรักษาด้วยไข่มุกเลี่ยงซินนี้ไม่ใช่ให้เขากินไข่มุก หากแต่เป็นท่านที่ต้องกินไข่มุกเพราะพลังเย็นของท่านจะช่วยให้ไข่มุกมีพลังเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นเดินลมปราณให้ไข่มุกไปฝังที่ใจของท่านมันจะหลอมรวมกับจิตใจท่าน แต่ท่านก็ต้องระวัง บางทีไข่มุกอาจะส่งผลข้างเคียงบางอย่างได้ อีก 1 ชั่วยามก็นำเลือดของท่านให้เขาดื่ม อาการเขาก็จะทุเลาลง พักสักหน่อย ก็คงจะดีขึ้นจนปกติ แต่อย่างที่ข้าบอกอย่างไรซะก็ไม่หายขาด ดังนั้นตราบใดที่ยังหาเมล็ดเหอเสวี่ยมาไม่ได้ เขาก็จะมีอาการกำเริบมาเมื่อใดก็ได้ ท่านเข้าใจที่ข้าพูดมั้ย”
เฟิงเฟิงตั้งใจฟังทุกขั้นตอนไม่ให้ผิดพลาด หลังจากนั้นเขาจึงทำตามที่แม่เฒ่าสั่งทุกอย่างและยังคงนั่งเฝ้าข้างเตียงตลอดเวลาไม่ยอมไปไหน ตอนนี้สองพี่น้องและแม่เฒ่าต่างแยกย้ายไปเข้านอนหมดแล้ว หากแต่เฟิงเยว่ก็นอนไม่หลับ เขาหลับๆตื่นๆมาหลายวันแล้ว “เฟิงเฟิง เฟิงเฟิง” มีเสียงเรียกเบาๆ เป็นเวลานานแค่ไหนไม่รู้ที่เขาหลับไปข้างเตียง เขาได้ยินเสียงแว่วๆ แต่ตายังไม่สามารถลืมขึ้นมาได้ และแล้วก็มีความอบอุ่นที่คุ้นเคยมาสัมผัสที่แก้มของเขา เขารู้สึกได้ พร้อมเริ่มจะซุกไซร้ใบหน้าเข้ามาที่ซอกคออย่างแผ่วเบา แต่แล้วเขาก็เริ่มจะฝืนลืมตาและหันกลับไปมองใบหน้าที่กำลังซุกเข้ามาเรื่อยๆ จนใบหน้าแนบชิดกัน ทันใดนั้นเขาก็ผงกหัวขึ้นด้วยความตกใจ “ถิงถิง เจ้าตื่นแล้ว เจ้าเป็นไงบ้าง เจ้ารู้สึกตัวแล้ว” “โอ้ยๆๆๆ เฟิงเฟิง ข้าจะหลับต่อก็ตอนที่เจ้าผงกหัวขึ้นมานี่ล่ะ ข้าคิดถึงเจ้ามากเลย ข้าไม่เข้าใจเลยเหมือนข้าจะมึนๆงงๆ ร้อนๆ หลายวันมานี่ข้ารู้แต่ว่าตัวข้าร้อนมาก จนอยากจะแตกออก แต่ข้าไม่อยากไปไหน ข้าสัญญาแล้วว่าจะไม่ทิ้งเจ้าไปอีก มาๆ มาให้ข้าหอมแก้มใหม่นะ ข้ายังไม่ชื่นใจเลย” ถิงถิงทำหน้าทะเล้น หยอกเย้าใส่อีกแล้ว แต่เขาต้องตกใจเมื่อใบหน้าคนตรงหน้าตอนนี้สายตาเต็มไปด้วยน้ำตาแล้วก็ค่อยๆไหลลงมาเป็นหยด จนเขาร้องตอบ “เฟิงเฟิง เราอยู่ดินแดนเหอก็จริงๆ แต่เจ้าไม่ต้องเอาน้ำมาขนาดนั้นก็ได้ เจ้าๆๆ เจ้าไม่ต้องร้องนะ ข้าอยู่นี่แล้ว เจ้าลิงยักษ์ของเจ้า อ่ะๆ ข้ายอมให้เจ้าเรียกแบบนี้ก็ได้ ลิงยักษ์ของเจ้าอยู่นี่แล้วนะ ไม่ต้องร้องสิ เอ้าๆ ยิ่งพูดยิ่งไหล เฟิงเฟิง เจ้าเป็นอะไรไป ข้าอยู่นี่แล้วไงล่ะ” น้ำเสียงกับท่าทางแบบนี้ที่เขาคิดถึง นี่มันหลายวันมากๆ ที่เขาต้องอึดอัด ไม่รู้ชะตากรรมว่าถิงยื่อจะรอดมั้ย เขาควรทำยังไง ไม่มีใครคอยปกป้องเขา ถิงยื่อกอดเฟิงเยว่อย่างแน่นเป็นการปลอบโยน เขารู้สึกคิดถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้มาก “ถิงถิง ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าพักเถอะ อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาแบบนี้ เจ้ายังต้องพักอีกมาก เข้าใจมั้ย” เขาเงยหน้าขึ้นไปสบตาคู่สวยคู่นั้นอีกครั้ง พร้อมปาดน้ำตา “ข้าแข็งแรงแล้ว ข้าไม่เป็นไรแล้ว ต่อให้คืนนี้ ข้าแกล้งเจ้าทั้งคืนก็ไหวนะ ลองดูมั้ยล่ะ” นั่น เจ้าลิงยักษ์ยังคงทะเล้นไม่หยุด “ไม่ต้องมาแกล้งข้า ข้าบอกแล้วไง ว่าให้เจ้าพัก ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะไม่อยู่เฝ้าเจ้าแล้วนะ” ถิงยื่อคิดในใจว่านี่เขาหายไปไหนมานะ ทำไมถึงได้คิดถึงหน้างอนๆ และแก้มอวบๆนี้อย่างจับใจ ฝากไว้ก่อน ตอนนี้เขายังรู้สึกงงๆและร้อนๆอยู่บ้าง ร่างกายอาจจะยังไม่เข้าที่มาก เขาจึงอยากพักอีกสักหน่อย คราวนี้ยอมเชื่อฟังก่อนแล้วกัน คอยดูเถอะ จะเอาคืนหน้างอนๆนี่ให้สาสมเลยคอยดู ว่าแล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ตามคำสั่งของคนตาสีฟ้า
อีกสองวันต่อมา หลังจากแม่เฒ่าเข้ามาตรวจอาการถิงยื่อในห้อง จึงได้เอ่ยถามเขาว่า “องค์ชายถิงยื่อ ข้าขอถามเจ้า เจ้าพอจะทราบเรื่องวิหคไฟและคำทำนายของมันมั้ย” “ข้าก็เพิ่งทราบจากท่านพ่อ ก่อนอาจารย์ไป๋จะสิ้น ท่านแม่เฒ่า ข้าก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อ วอนท่านโปรดชี้แนะ” ถิงยื่อเมื่อแข็งแรงมากขึ้น เขาก็คิดว่าต้องสานต่อความคิดแรกที่จะหาความจริงในหลายๆเรื่องที่ค้างคา “คำทำนายที่ว่า เมื่อวิหคไฟวนครบทั้ง 9 ดินแดน ดินแดนหนึ่งจะสลาย หายนะจะมาเยือน มีผู้คนเคยบอกว่าดินแดนนั้นคือดินแดนยื่อ และด้วยเหตุนี้ ดินแดนอื่นๆจึงหาทางจะโค่นล้มดินแดนท่าน ตอนนี้ถ้าให้ข้าทำนาย คงต้องบอกว่ามีแต่องค์ชายทั้งสองเท่านั้นที่จะแก้ไขคำทำนายนั้นได้ ส่วนหายนะที่ว่าข้ายังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ข้าจะหาทางแจ้งท่านอีกที และข้าจะบอกว่าขอให้ท่านอย่าไว้ใจใคร ถ้าเป็นจริงตามที่ท่านเล่ามา ตอนนี้องค์ชายหลิงมู่มีหยกเหอเสวี่ย ซึ่งน่าจะไปฆ่าอาจารย์ไป๋ได้ อาจารย์ไป๋ก็คงทราบอะไรบ้างเช่นกัน แต่ว่าองค์ราชาบอกว่าหยกเหอเสวี่ยท่านให้องค์หญิงสุ่ยเก๋อไว้ ไม่ทราบว่าท่านเห็นว่าสองคนนี้มีความสนิทสนมกันหรือไม่” แม่เฒ่าอธิบายและวิเคราะห์หลายเรื่องให้กับเขา เขารู้สึกว่าหลายๆอย่างกระจ่างขึ้นมาก “แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้ท่านตามหาหัวใจของท่านเจอแล้ว ดังนั้นคำที่องค์ราขาของดินแดนยื่อบอกท่านคงจะกระจ่างแล้วนะ ข้าไม่ขอพูดอะไร เอาเป็นว่า อย่าให้พลังแห่งไข่มุกเลี่ยงซินสูญเปล่าล่ะ” นั่นสินะ ในที่สุดเมื่อมาถึงดินแดนเหอเขาก็ได้ ตามหาหัวใจแห่งหยกเลือด ตอนนี้เขาเจอทั้งหัวใจและที่มาของหยกเลือดแล้ว “ขอบคุณท่านแม่เฒ่าที่ช่วยข้า สำหรับหยกเหอเสวี่ยข้าต้องไปเอาจากหลิงมู่ให้ได้ แต่ข้าก็ยังไม่เห็นว่าหลิงมู่กับสุ่ยเก๋อจะสนิทกันเลยนะ” “อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น สำหรับคนดินแดนเหอ ท่านจำได้มั้ย ข้าบอกท่านได้แค่นี้” แม่เฒ่าทิ้งท้าย ก่อนจะบอกว่าถิงยื่อแข็งแรงขึ้นมาก นางจึงขอตัวกลับก่อน รวมทั้งบอกให้ทั้งสองพักอีกสักคืนแล้วค่อยเดินทางกลับดินแดนยื่อเพื่อตามหาความจริงต่อไป ถิงยื่อจึงขอบคุณนางและบอกว่าคงได้พบกันอีก
ยามเย็นก่อนทานข้าวกันเป็นมื้อสั่งลาในดินแดนเหอกับสองพี่น้อง ถิงยื่อได้ถอดจิตคุยกับองค์ราชาและราชินีรวมทั้งบอกว่าเขาจะขอกลับในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งเรื่องที่แม่เฒ่าบอกไว้ เมื่อกลับมาเรียบร้อย ก็ได้เวลาอาหารเย็น เขาแปลกใจมาก เมื่อมองจากด้านหลังเหมือนมีหญิงสาวรูปร่างแบบที่เขาชอบนั่งอยู่ นางถักเปียที่ด้านหลังเล็กๆ ดูน่ารัก ถิงยื่อจึงเดินเข้ามาพร้อมตะโกนว่า วันนี้เจ้าสองคนมีแขกเหรอ แล้วเจ้าเห็นเฟิงเฟิงมั้ย เขาไปไหนล่ะ ยังไม่ทันสบตาสาวน้อยรูปร่างดีที่เขานึกชอบ ก็เห็นสองพี่น้องหัวเราะคิกคัก แล้วก็มองไปที่หญิงสาวคนนั้น เขาจึงมองตามไป ภาพตรงหน้าเขาไม่อาจจะหยุดตะลึงได้ นี่มันเฟิงเฟิงนี่นา ทำไมเขาถึงได้สวยขนาดนี้ ใบหน้าได้รูป ปากนิด จมูกหน่อย แก้มนั้น พอแต่งเป็นผู้หญิงแล้ว เขานี่อ้าปากค้างไปเลย “เฟิงเฟิง เจ้าๆ เจ้าทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ”
“สวยใช่มั้ยล่า คิคิ ข้าบอกแล้วพี่กวง พี่ถิงจะต้องตกตะลึง ข้าขอตั้งหลายวันกว่าพี่เฟิงจะทำให้ข้า ข้าต้องอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนอีก ขอแค่ครั้งเดียว ช่วยไม่ได้ก็ข้าอยากมีพี่สาวนี่นา แล้วก็พี่เฟิงก็ออกจะสวยสะดุดตาซะขนาดนี้ พี่สาวเฟิงของข้า ท่านอย่ากลับได้มั้ย อยู่เล่นกับข้า อยู่เป็นพี่สาวข้า นะๆๆๆ” “ฮวาเอ๋อ เจ้าเนี่ยะเอาแต่ใจไม่เปลี่ยน พี่ตามใจเจ้ามากไป ดูสิไปบังคับให้น้องเฟิงทำอะไรแบบนี้ เอ่อ แต่ว่า เอาจริงๆ ข้าว่าเขาสวยกว่าสาวๆในหมู่บ้านเราอีกล่ะ ข้าพูดจริงๆนะ ใช่มั้ยน้องถิง” กวงเมากล่าวด้วยความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ทว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ตอบ จนเฟิงเยว่หันไปมอง แล้วหันไปพูดกับเด็กสาวตัวน้อยว่า “พี่เฟิงทำเพื่อเจ้า เข้าใจมั้ย เพราะเจ้าเป็นเด็กดี น่ารัก เชื่อฟังพี่กวงและพี่ เจ้าอยากได้อะไรตอบแทนเจ้าก็จะได้ ดังนั้นวันหลังหากเจ้าอยากได้อะไร เจ้าต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ เข้าใจที่พี่บอกมั้ยจ๊ะ ฮวาเอ๋อ” เฟิงเยว่กล่าวสอนเด็กน้อย ที่เค้ายอมทำแบบนี้จริงๆเพราะต้องการสอนและขอบคุณครอบครัวนี้ที่คอยดูแลเขามาหลายวัน อย่างน้อยทำให้เด็กหญิงมีความสุขก็ยังดี นางมารบเร้าอยากให้เป็นพี่สาวมาหลายวันแล้ว แต่เฟิงเยว่ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ จนวันนี้ยิ่งเห็นสายตาของถิงยื่อที่มองมา เขารู้สึกว่าไม่น่าทำเลย ถิงยื่อไม่พูดอะไรเลย พร้อมทำหน้าประหลาดตลอดเวลาที่กินข้าว เมื่อกินข้าวกันเรียบร้อย ก็เข้าห้องมาเก็บของ สองพี่น้องให้พวกเขาพักผ่อนมากๆและค่อยร่ำลากันพรุ่งนี้ เพราะต้องเดินทางต่อไปอีกไกล แต่พวกเขาไม่รู้หรอกว่าถิงยื่อสามารถเรียกเจ้าเอ้อมารับเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นคืนนี้เขามีเวลาเหลือเฟือที่จะจัดการสาวน้อยที่สะโพกอวบอัดตรงหน้าที่ยังไม่ได้ถอดชุดผู้หญิงออก และยังแต่งหน้าอ่อนๆ ฝีมือเด็กสาวแก่แดดแห่งหมู่บ้านที่ไปขนสีมาเล่น แต่ว่ารับกับใบหน้าที่ขาวนวลเช่นนี้ ถิงยื่อเห็นเฟิงเยว่ยังคงก้มๆเงยๆกับเสื้อผ้า เก็บของที่ได้จากคนแถวนั้นเพื่อเอากลับไป โดยยังไม่ได้พูดกับเขาเลยตลอดเวลาที่กินข้าวเย็น เพราะสองพี่น้องต่างชวนคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาเห็นเฟิงเยว่ยิ้ม และหัวเราะเบาๆได้บ้าง แต่ให้ตายเหอะขนาดกินข้าวยังน่ารักเลย นี่เขาไม่ได้คิดไปเองจริงๆนะ
ในขณะที่อีกฝ่าย ยังไม่กล้าสบตาคมคู่นั้น เขารู้สึกแค่ว่ามันแปลก และก็รู้สึกว่าหน้าเขาต้องมีอะไรแน่ๆ ไอ้สีที่ทาๆ ปากที่มีสีแดงจางๆที่ฮวาเอ๋อมาเขียน มันต้องตลกมากแน่ๆ ถิงยื่อจึงได้มองเขาบ่อยมาก เขารู้สึกได้ เขาจึงก้มๆหน้าเก็บของไปเรื่อย โดยไม่ทันระวังตัว สองมือใหญ่ก็เข้ากอดจากด้านหลัง “นี่แน่เฟิงเฟิงของข้า ข้าจับเจ้าไว้แล้ว ไม่ให้เจ้าไปส่งสายตาสีฟ้ากับใครที่ไหน ดูสิวันนี้ขนาดพี่กวงยังชมเจ้าเลยนะ ไว้วันหลังเจ้าแต่งตัวแบบนี้ให้ข้าดูบ้างได้มั้ย” ถิงเยว่อยากกอดและหอมแก้มเนียนขาวนี้ที่สุดในโลก เขาจึงหอมเข้าไปที่แก้มขวาฟอดใหญ่ จนอีกฝ่ายหันมาทำตาเขียวใส่ “ไม่ต้องเลย เจ้าหน่ะ คงจะขำข้าล่ะสิที่แต่งตัวแต่งหน้าแบบนี้ เห็นสายตาเจ้าก็รู้แล้ว” “อะไรกัน ทำไมเจ้าคิดแบบนั้น” ไม่พูดเปล่า คราวนี้เค้าจับอีกฝ่ายหันหน้ากลับมาเพื่อมองให้ชัดๆ “วันนี้เจ้าสวยมาก เจ้ารู้ตัวมั้ย ไม่ว่าใครในดินแดนเหนือฟ้านี้ก็ไม่อาจทำให้ใจข้าร้อนรุ่มได้แบบนี้เลย” ว่าแล้วเขาก็ดันตัวอีกฝ่ายไปชิดกับผนังด้านหลังพร้อมกับรวบเอาข้อมือของอีกฝ่ายมาโอบรอบตัวเขาไว้ แล้วไปปลดสายรัดด้านหลังและเอามือของตัวเองมาแหวกเสื้อที่คลุมไหล่ที่ขาวเนียนนั้นออกอย่างแผ่วเบา ไวกว่าเฟิงเยว่จะรู้ตัว ถิงยื่อระดมจูบมาที่ซอกคอของเขาจนเขาแทบจะละลายไปตรงนั้น อีกฝ่ายจึงค่อยๆไล่มือทั้งสองที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายขึ้นมาที่คอพร้อมกอดไว้เบาๆ หลังจากนั้นเสียงหนักแน่นตรงหน้าเขา จึงพูดเสียงเบาๆข้างหูว่า “ให้เอาอะไรมาแลก ข้าก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปแน่คืนนี้” เฟิงเยว่รู้สึกว่าเค้าเองก็คิดถึงรสจูบนี้เช่นกัน เพราะหลายวันที่ผ่านมา เขาก็อยากให้ถิงเยว่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ดูเหมือนว่าคืนนี้ถิงเยว่จะมีแรงมากเป็นพิเศษด้วย พิษจากองุ่นแดงคงทำอะไรเขาไม่ได้ง่ายๆแล้วตอนนี้ เขาจึงอยากระบายความรู้สึกทีอัดอั้นมานานออกไปบ้าง เพราะกลัวว่าจะไม่ได้คุยกันอีกเหมือนอย่างที่ผ่านมา “ถิงถิง ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า” “อะไรเหรอเฟิงเฟิงของข้า แต่ก่อนนั้นข้าขอลบสีแดงที่ปากเจ้าออกก่อนนะ” เขาบรรจงจูบลงไปที่ปากอยู่สักพัก อีกฝ่ายจูบตอบรับอย่างไม่ขัดข้อง หลังจากนั้นถิงยื่อจึงอุ้มเฟิงเยว่ขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าคืนนี้เขาแข็งแรงกว่าวันอื่นๆแล้ว พร้อมกับเป่าเทียนที่ส่องสว่างให้ดับลง เขามองเห็นได้ท่ามกลางความมืด ไม่เห็นจะมีปัญหา แถมคืนนี้มีแสงจากพระจันทร์ส่องเข้ามาในห้องด้วย เขาเพิ่งสังเกตเห็น ถึงจะมืดสลัวแบบนี้ ผิวของเฟิงเยว่ก็ยังสุกปลั่งและดูมีน้ำมีนวลเหมือนกับจะเล่นแสงของพระจันทร์จริงๆ แล้วเขาก็ค่อยๆวางเฟิงเยว่ลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง “ เจ้ามีอะไรจะบอกเหรอเฟิงเฟิง เจ้ารีบบอกมาสิ ข้ารอฟังอยู่ ไม่งั้นข้าจะลบสีอื่นๆบนหน้าเจ้าแระนะ” ถิงเยว่คนตัวใหญ่ ยังไม่วายจะทะเล้นใส่ ตอนนี้เฟิงเยว่ เอามือเขาคล้องคอของคนตรงหน้าพร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากบอกว่า ขอบคุณที่เจ้าดีขึ้น ขอบคุณที่เจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้าอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแบบนี้ ข้ารักเจ้า ข้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป” ถิงยื่อเมื่อได้ฟังมันเหมือนปลดปล่อยทุกอย่าง เขายิ้มตอบและค่อยๆเอามือหนึ่งลูบที่แก้มของอีกฝ่าย พร้อมอีกมือหนึ่งปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่เป็นเนื้อแบบบางเบาของผู้หญิงออกจากตัวเฟิงเยว่ แล้วจูบไปที่แก้ม ค่อยๆไล่ลงมาที่ปาก เมื่อลิ้มรสหวานกันจนพอใจแล้ว ถิงยื่อจึงพูดว่า “เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า เพราะแค่ข้าได้เห็นหน้าเจ้าแบบนี้ ข้าก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น ว่าข้ารักเจ้ามากขนาดไหนนะเฟิงเฟิง” เขายังคงเอาปากลูบไล้ต่อไปที่คอของอีกฝ่าย และค่อยๆไล่ลงมาเรื่อยๆจนถึงบริเวณเนินอกที่ขาวเนียน เขาจูบเข้าที่หน้าอกนั่นครั้งนึง พร้อมกับพูดเบาๆอีกว่า “นี่สินะ ไข่มุกเลี่ยงซิน ข้าขอพลังจากไข่มุกที่อยู่ตรงนี้นะเฟิงเฟิง” ว่าแล้วเขาก็ใช้ฟันขบเบาๆไปที่ยอดเนินอกที่เป็นสีชมพู พร้อมกับใช้ปากดูดคลึงบริเวณนั้นไปเรื่อยๆ ประหนึ่งจะดูดพลังจากไข่มุกขึ้นมาจากใจเฟิงเฟิงจริงๆ ส่วนด้านล่างมือที่ซุกซนของเขาก็ไล่ลงต่ำไปที่ท้องน้อย ต้นขา และปลดปล่อยทำให้พลังความร้อนจากตัวเขาเข้าสู่เฟิงเยว่อีกครั้ง เมื่อความร้อนแล่นไหลเข้าร่าง เฟิงเยว่ร้องเสียงคล้ายแมวครางออกมาเป็นระยะๆ แล้วก็พูดว่า “ถิงถิง ข้ารักเจ้านะ ข้ารักเจ้า” พร้อมกันนั้นเฟิงเยว่จึงผลักให้ถิงยื่อพลิกตัวนอนลงบ้าง แล้วเขาก็ขึ้นมาคร่อมอยู่ที่ร่างอันแข็งแรงนี้ พร้อมกับค่อยๆไล่จูบลงมาเรื่อยๆตั้งแต่ตา จมูก ปาก ลำคอ หลังจากนั้นก็เอามือทั้งสองมาจับที่แผ่นอกถิงถิงด้วยและไล่ลงมาจนถึงที่กล้ามเนื้อท้องของเขา มันทำให้เขารู้สึกเป็นสุขมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังของพระจันทร์และไข่มุกหรือเปล่าที่ทำให้เฟิงเฟิงของเขาในวันนี้ช่างเป็นอะไรที่แตกต่างและเร้าร้อนดีจริงๆ ถิงยื่อคิด แต่เขาชอบนะแบบนี้... หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงเรียกชื่อเขาจากปากของแมวน้อยยังคงออกมาเป็นระยะๆ บ่งบอกถึงความสุขในคืนวันจันทร์เต็มดวงนี้…
ว้า!!! เขาไม่อยากจะเรียกเจ้าเอ้อมารับเลยนะเนี่ยะ
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น