วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทที่ 3

รอรัก...ที่ปารีส

Love me=>if you dare


บทที่ 3 Tour Eiffel ตูร์แอฟแฟล หอไอเฟล


ทำยังไงดีครับ ผม"หลี่อี้เฟิง"ไกด์รับจ้างส่วนตัวสำหรับคนจีนที่อยากมาเที่ยวปารีส

ตอนนี้กำลังตกอยู่ในวงล้อมของกอริลล่ายักษ์ ใช่ครับ กอริลล่ายักษ์ !!!
เขาคือ"เฉินเหว่ยถิง" มหาเศรษฐีหนุ่มหน้าใหม่ ที่ผมก็ยังไม่รู้ว่าธุรกิจของเค้าคืออะไร
แต่ตอนนี้เค้ากำลังจะกินมาการองอีกชิ้นแบบที่ต้องกินพร้อมกันกับผมด้วย 

"อ้าว ว่าไง เฟิงเฟิง พี่อยากกินรสอื่นด้วย ขอแบบเมื่อกี้อีกชิ้นได้มั้ย"

"เอ่อ...พี่ถิง จะกินอีกเหรอ" ผมถามกลับด้วยความอาย แต่ใจจริงก็อยากกินแบบเมื่อกี้นะ เพราะมันทั้งหวานและอร่อยด้วย อีกฝ่าย เลียริมฝีปากตัวเอง พร้อมบอกว่า 

"งั้นขอกินเศษที่เหลือที่ติดอยู่นี่ก่อนแล้วกันนะ"

หลังจากนั้น พี่ถิงก็ก้มลงเลียที่ริมฝีปากผมและเริ่มดูดที่ริมฝีปากล่าง จนพอใจจึงเริ่มรุกล้ำเข้าในปากผม 

คราวนี้ผมรู้สึกว่าแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว จึงผลักเขาออกเล็กน้อย พร้อมกับบอกว่า

"พรุ่งนี้พี่จะไปเที่ยวที่ไหน ผมจะได้เตรียมข้อมูลถูก"

"ไปไหน ก็ได้ แล้วแต่เฟิงเฟิงเลย เพราะพรุ่งนี้พี่ว่างจริงๆ ส่วนต้าหลุนก็คงตามงานให้พี่อีกวันสองวันจะกลับ
มีอะไรให้พี่ชิมอีกมั้ยที่ปารีสนี่"

ผมแลบลิ้นใส่เขา คราวนี้พี่ถิงทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ พร้อมกับบอกว่า 
"อ่ะ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ ไปไหนดีน้า"

เค้าไปทิ้งตัวลงที่โซฟากลางห้อง แล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด

"อ้อ นึกออกแล้ว มาปารีสก็ต้องไปหอไอเฟลสิ ใช่ๆ พาพี่ไปชั้นบนสุดของหอไอเฟลเลยนะ พี่อยากไป"

"ได้สิครับ งั้นเดี๋ยวผมไปจองตั๋วขึ้นลิฟท์ของไอเฟลให้ก่อน จะได้ไม่ต้องต่อคิวนานนะ 
ออกกันไม่ต้องเช้ามากก็ได้ สบายๆ สัก 9 โมงนะครับ แวะหาอะไรทานก่อนแล้วค่อยไป พี่ถิงอยากจะล่องแม่น้ำแซนด์ด้วยเลยมั้ย ผมจะได้ดูไปด้วย แต่ถ้าเราใช้เวลาที่ไอเฟลนาน ก็อาจจะไม่ทันนะ"

"มีที่อื่นมั้ย พี่อยากล่องแม่น้ำวันอื่นหน่ะ อยากชมทิวทัศน์สวยๆแบบไม่ต้องรีบมากกว่า"

"โอเค งั้นเราก็ไปที่ประตูชัยต่อแล้วกันตอนบ่ายๆ จนสุดท้ายก็มาจบที่ซ็องเซลิเซ่พอดี เราก็จะได้เก็บแถวๆนี้หมดก็ดีเหมือนกันครับ" 

ผมให้ความเห็น แต่คนตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่สนใจที่ผมพูด เค้ายังคงมองหน้าผม จนเหมือนมีอะไรติดอยู่ 
มันทำให้ผมรู้สึกอายนะ

"เฟิงเฟิง ถ้าหมดทริปนี้แล้ว พี่อยากเจอกันอีกมากกว่านี้ได้หรือเปล่า"

ผมอึ้งไป นี่อะไรของเค้าเนี่ยะ ผมอุตส่าห์คิดว่า หมดทริปแล้วผมจะได้หายใจหายคอโล่งสะดวกซะที เวลาอยู่ด้วยกันทีไร ใจผมมันเต้นเหมือนจะระเบิดทุกที ตอนนี้ก็ด้วย!!!

"พี่ไม่กลับจีนเหรอ" คราวนี้เค้าเอามือมาจับมือผมซึ่งยืนอยู่ด้านข้างพร้อมสายตาอ้อนวอน

"เอาน่า ตอบพี่มาก่อน ว่าได้มั้ย พี่อยากเจอเฟิงเฟิงอีก" ผม...ผมควรตอบว่าไงดี


"ถ้า...เอ่อ...ถ้าพี่มา ก็เจอกันได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ถิงก็คือพี่คนนึงที่ผม...เอ่อ...ผมก็สนิทด้วยแล้ว"

"แค่นี้หน่ะเหรอ" คราวนี้เค้ากำลังจะดึงผมลงไป แต่ผมฝืนตัวเอาไว้ พร้อมกับบอกว่า

"ไว้ค่อยคุยกันนะครับ เหลืออีกตั้งหลายวัน ผมไปจองตั๋วกับดูโปรแกรมให้ดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับ"
เสร็จแล้วผมก็ค่อยๆปลดมือเขาออก แล้ววิ่งหายเข้าไปในห้องตัวเอง พร้อมกับใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ
นี่เค้าอยากจะเจอผมอีกเหรอ ตกลงแล้วเค้าคิดยังไงกันแน่นะ>>>

วันนี้ก็เป็นอีกวันนึงที่ผมเหนื่อยมากพอควร พี่ถิงร่าเริงมากเหมือนเด็ก เค้าวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดบนไอเฟลเป็นพันๆขั้น กอริลล่ายักษ์นี่ไม่เหนื่อยเลยรึไงนะ###

หอไอเฟลมี 3 ชั้นครับ ชั้นแรกกับชั้นที่สอง สามารถเดินบันไดขึ้นได้ แต่ก็เหนื่อยเอาการ แล้วค่อยขึ้นลิฟท์ไปชั้นที่ 3 ซึ่งจะสามารถชมวิวที่เห็นกรุงปารีสได้อย่างชัดเจน

กอริลล่ายักษ์ชอบขึ้นที่สูงสินะ 5555 เหมือนเขาดีใจที่ได้มาอยู่ชั้นบนสุด แล้วเขาก็ตะโกนไปอย่างไม่อายคนอื่น

"ผม เฉินเหว่ยถิงนะ วู้ๆๆๆๆ"

"พี่ถิงอ่ะ อายฝรั่งเค้าบ้าง" ผมรีบห้ามปรามเด็กตรงหน้า

ในขณะที่เรากำลังถกเถียงกัน พี่ถิงก็หันไปเห็นหญิงสาวคนนึงที่อยู่บนชั้น3 ด้วย เขาพยายามจะเดินตามไปแล้วเรียก

"ยื่อปา ยื่อปา ใช่มั้ย ยื่อปา เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป รอพี่ด้วย!!!"

แต่หญิงสาวคนนั้นเดินหายไปลงลิฟท์ โดยไม่ได้หันมามองเลย

"ใครเหรอครับพี่???"ผมงงๆกับอาการของพี่ถิง

"เปล่าหรอก พี่คิดว่าเจอคนรู้จักหน่ะ ทำไมไม่หันมานะ เหมือนมากแท้ๆ"

ผมเห็นเขาเงียบไปเลยถามไปว่า

"เดี๋ยวเรารอลงลิฟท์รอบต่อไป แล้วก็ลองไปหาดูอีกทีมั้ยครับ เผื่อจะเจอ"

"ไม่เป็นไรเฟิงเฟิง ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้พี่หิวแล้ว เราไปหาไรกินแล้วก็เที่ยวกันต่อนะ 
พี่อยากถ่ายรูปเก็บไว้เยอะๆด้วย"

หลังจากนั้นเราสองคนก็หาอะไรกินง่ายๆ พี่ถิงถ่ายรูปไว้เยอะมาก 
ก่อนที่จะขึ้นรถไฟฟ้าไปยังจตุรัสชาร์ล เดอ โกล เพื่อไปเที่ยวต่อที่ประตูชัย>>>

เมื่อมาถึงประตูชัย ก็บ่ายๆแล้ว ผมจึงอธิบายความสำคัญว่าที่นี่เป็นอนุสรณ์สำหรับสงครามโลกครั้งที่ 1

ด้วยความที่อยู่แถวนี้มานานและเป็นหนึ่งในสิ่งที่ลูกทัวร์ผมส่วนใหญ่ต้องมาอยู่แล้ว 
ผมจึงรู้และอธิบายละเอียดถึงสถาปัตยกรรมแต่ละส่วนของประตูชัยได้หมด 
ว่าส่วนใดหมายถึงอะไร และออกแบบโดยศิลปินคนไหนของฝรั่งเศส

"โอ้โฮ เก่งมาก จำได้ไงหมดเนี่ยะ" พี่ถิงเอ่ยพร้อมกับดูลวดลายรูปปั้นแกะสลักต่างๆ ตามที่ผมบอก

"แหม....ใครๆก็ต้องมากันทั้งนั้น แถมเป็นงานศิลปะ ผมก็ต้องสนใจอยู่แล้ว"

"เฟิงเฟิงนี่ นับวันจะทำให้พี่ทึ่งและอึ้งในตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆนะ ทำไมตอนนั้น 
พี่ถึงไม่เจอเราเลยน้า หลังจากวันนั้นที่เราจูบกัน"

พี่ถิงพูดออกมาทำให้ผมหน้าแดงขึ้นมาทันที เค้าหันมาเห็นแล้วหัวเราะร่า
"เฟิงเฟิง พี่พูดเรื่องจริง จะมาเขินทำไมเนี่ยะ ยิ่งเขินยิ่งน่ารัก 55555"

"พี่ถิง อย่าล้อสิ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงหายเงียบไป แถมย้ายบ้านอีก ผมอยากรู้จริงๆนะ 
แล้วตกลงยื่อปาคือใครเหรอครับ ใช่น้องสาวพี่มั้ย
ผมเคยคุย we chat กับหม่าเทียน เค้าบอกว่าตอนนั้นที่บ้านพี่มีปัญหาเรื่องน้องสาวที่ชื่อยื่อปาด้วย คนเดียวกันรึเปล่าครับ"

ผมถามเพราะสงสัยมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนไปแวร์ซายนั่น คราวนี้พี่ถิงเงียบอีก 
นี่เค้าจะไม่บอกอะไรผมเลยรึไงนะ

"ถ้าพี่เล่าให้ผมฟัง ผมสัญญาว่าเราจะเจอกันอีกหลังจบทริปตามที่พี่ขอครับ"

"นี่เรากล้าอีกแล้วนะ!!! เมื่อกี้ยังหน้าแดงอยู่เลย ตอนนี้กล้าเอาเรื่องที่พี่เก็บไว้มาต่อรองเลยนะ"

"แล้วพี่จะบอกมั้ยล่ะ ผมไม่อยากคาใจครับ ยังไงผมก็อยากรู้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่กันแน่ 
เพราะหลังจากวันนั้น ผม...เอ่อ...ผม อยากเจอพี่อีกมากๆเลย แต่พี่ก็ไม่ค่อยมาโรงเรียน"

"นี่ตกลงเฟิงเฟิงจะบอกว่าอยากเจอพี่อีกเหรอ ฮั่นแน่!!! แอบชอบพี่ใช่มั้ยล่า"

"พี่ถิงครับ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง ผมอยากรู้เรื่องพี่มากกว่านะ"

"พี่บอกได้แค่ว่าตอนนี้ยื่อปาหายไป จริงๆตอนเราย้ายบ้านกัน ก็ยังไม่มีอะไรมาก ที่บ้านพี่แค่ย้ายมาทำธุรกิจใหม่กับลุงโจนาธาน เราถึงได้มีวันนี้ ลุงสอนพี่เยอะมากเรื่องธุรกิจ แต่ว่าปีก่อนมีปัญหาที่พี่ยังบอกเฟิงเฟิงไม่ได้ 
แต่เอาเป็นว่า มันทำให้คนที่พี่รักในครอบครัวหายไปอีกคน หลังจากที่พ่อกับแม่พี่ก็ตายไปด้วยอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ตอนนี้นอกจากลุงโจนาธานแล้ว พี่ไม่เหลือใครอีกเลย"

หลังจากพี่ถิงพูดจบ ผมก็พอเข้าใจแล้ว ว่าทำไม เค้าถึงทำหน้ามีปัญหาหนักใจตลอดเวลา และดูเอาแต่ใจ

แต่จริงๆแล้วเค้าซ่อนความเจ็บปวดเสียใจมากมาย ที่คนอื่นคงไม่อาจเข้าใจได้ 
ผมเลยคิดว่าไม่ถามต่อจะดีกว่า...

เลยแกล้งบอกไปว่า

"ไปหาขนมกินกันมั้ยครับ แต่บอกก่อนไม่เอามาการองนะ"

ผมต้องรีบพูดดักคอไว้ก่อนที่คนตรงหน้าจะคิดทำอะไรหรือแกล้งผมให้อายอีก พอเย็นเราจึงซื้อขนมกลับไปกิน

พอมาถึงห้องที่โรงแรม ตอนนี้เค้าไปคุยโทรศัพท์กับต้าหลุนอย่างเคร่งเครียด

พอเค้าวางสาย ผมเลยตัดสินใจพูดออกไปว่า

"พี่ถิง ผม...ผมจะกลับไปเอาเติ่งเติงน้อยที่บ้าน ผมกลัวว่าคืนนี้จะนอนไม่หลับอีก เมื่อคืนก็หลับๆตื่นๆทั้งคืน"

"อะไรนะ!!! นี่นายเห็นตุ๊กตาลิงเน่านั่น สำคัญกว่าคนตรงหน้านี้รึยังไง" คราวนี้เขาดูโมโหและถลึงตาใส่ผม 
แค่ผมจะกลับบ้านแค่นี้เอง

"นะๆ นะครับ...ผมกลับไปแป๊บเดียว เดี๋ยวกลับมา บ้านเช่าก็ไม่ได้ไกลมาก และนี่ก็ยังไม่มืดมากเท่าไหร่"
ผมพยายามหว่านล้อม

"ไม่!!! พี่ไม่ให้ไป" 

"น้าาาา ไม่เกินชม.ผมจะกลับมา แถวนี้ถิ่นผม วางใจเถอะ" ถึงแม้ว่าปารีสยามค่ำคืนจะไม่ปลอดภัยมากเท่าไหร่
แต่ผมว่าก็ดีกว่าปล่อยให้ผมอยู่ในนี้ต่อไป 
ผมไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้บ้าง ขอออกมาพักหายใจบ้างก็ยังดี

"ไม่ บอกว่าไม่ให้ไป เฟิงเฟิงไม่เข้าใจรึไง" อีกฝ่ายดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ 
แต่สุดท้ายเถียงกันไปมา จนผมออกมาได้ซะที หัวใจผมค่อยสงบลง>>>



ระหว่างทางเดินกลับโรงแรม ตอนนี้ผมได้เติ่งเติงน้อยมาแล้ว คืนนี้ถ้าไม่มีอะไร ผมคงหลับสบายซะที 
ผมจึงเดินอารมณ์ดี โดยลัดเลาะไปด้านหลังถนนช็องเซลิเซ่ เพื่อมุ่งหน้าไปโรงแรม...
เดินไปสักพัก ผมรู้สึกว่าเหมือนมีคน 2-3 คนตามผมมา ผมไม่กล้าหันไปมอง 
ได้แต่เดินเร็วขึ้น แต่ฝีเท้าด้านหลังก็ยังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง พวกมันเข้ามาจับที่ข้อมือผม
 และกระชากถุงในมือไป!!!


ผมเห็นหน้าไม่ชัด แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนผิวสี ผมพูดภาษาฝรั่งเศสถามว่าอยากได้อะไรกันแน่  
แต่คนกลุ่มนี้ไม่ฟัง คนที่เอาถุงผมไป...โยนไปให้อีกคน พวกมันหยิบมาดูแล้วปาเติ่งเติงน้อยผมทิ้ง 
พร้อมทั้งเอาเท้าเหยียบจนมันเละเทะไปหมด
ผมเลยตัดสินใจร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ...

พวกมันเข้ามาปิดปากและล็อคตัวผม เตรียมจะต่อยหน้าผมแล้ววววว ฮือๆๆ ผมยังไม่อยากตายยยยย.....

ทันใดนั้นก็มีตำรวจกลุ่มนึงวิ่งเข้ามา พร้อมด้วยพี่ถิง ใช่!!! พี่ถิงพาตำรวจมา เค้ามาได้ยังไง>>>

เมื่อตำรวจมาถึง คนร้ายก็ปล่อยผมและรีบหนีไป ผมแค่เจ็บที่ข้อมือกับหัวไหล่ที่โดนล็อคเล็กน้อย 
ผมบอกรูปพรรณคนร้าย ก่อนตำรวจจะกลับไป ก็บอกว่าน่าจะเป็นพวกไร้บ้านแถวนี้ 
ถามว่าผมจะฟ้องหรือดำเนินการอะไรมั้ย
แต่ผมคิดว่าช่างมันดีกว่า ในเมื่อไม่มีอะไรหาย เพราะตอนนี้คนที่น่ากลัวกว่าตำรวจ ยืนอยู่ต่อหน้าผมนี่ล่ะครับ
ดังนั้นไม่นานตำรวจจึงกลับไป

แต่ปัญหาตรงหน้าผมสิ พี่ถิงตอนนี้เหมือนกอริลล่ายักษ์ออกอาละวาด

คราวนี้ผมหันไปมองเติ่งเติงน้อยที่บี้แบนเละเทะ...แล้วหันไปมองเค้าอีกทีนึง

พี่ถิงไม่พูดอะไร ตรงเข้ามา ฉุดมือผม แล้วก็ลากผมไปจนถึงที่ห้อง เหวี่ยงผมลงไปที่เตียงแล้วตะโกนใส่หน้า

"เป็นไง!!! กล้ามาก กล้าตลอด นายนี่นะ ต้องทำยังไงถึงจะคิดว่าบางเรื่องก็ควรฟังพี่บ้าง"

ตอนนี้หน้าตาพี่ถิงน่ากลัวมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าเวลาเค้าโกรธมันจะน่ากลัวขนาดนี้!!!

"เอ่อ พี่ถิง...ใจเย็นๆก่อนได้มั้ย ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากนะครับที่พาตำรวจไป
ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าจะมีเรื่อง สงสารก็แต่เติ่งเติงน้อยเท่านั้นแหละครับ"

"นี่จะไม่รู้สึกเลยใช่มั้ย ที่พี่พูดก็เพราะเป็นห่วง หัดห่วงตัวเองบ้าง 
ถ้าเฟิงเฟิงเป็นอะไรไป หรือถูกจับไปอีกคน พี่จะทำยังไง!!!"

คราวนี้สีหน้าคนตรงหน้ากลับกลายเป็นเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด

"พี่ถิงครับ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ผมไม่เป็นไร พี่ไม่ต้องกลัวหรอก 
ตอนนี้แค่เจ็บไหล่กะข้อมือนิดหน่อยเองครับ"

"ต่อไปอย่าไปไหนคนเดียวอีก แล้วก็อยู่ใกล้ๆพี่ไว้ เข้าใจมั้ย???"

"พี่ครับ มันจะเป็นไปได้ยังไง ผมก็ต้องไปเรียน แล้วก็ต้องทำอะไรเองอีกตั้งหลายอย่าง" 
ผมเถียงออกไปโดยที่ไม่คิดว่า... 
ฉับพลันนั้น คนตัวใหญ่จะไม่พูดอะไรต่อ เดินออกจากห้องไป แล้วก็ปิดประตูห้องตัวเองดังปัง!!! 
เหมือนตั้งใจให้ผมรู้ว่าตอนนี้เค้าโกรธผมมากแค่ไหน...

อ่ออ่อย@@@!!! ใจผมตอนนี้แป๊วมากเลยครับ ผมไม่อยากให้เค้าโกรธผมหรอก ผมรู้ว่าเค้าเป็นห่วงมาก

แต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมเค้าต้องโกรธขนาดนี้ ผมก็เลยตัดสินใจไปเคาะประตูห้อง

"พี่ถิงครับ พี่เป็นอะไรอ่ะ บอกผมหน่อยสิ ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่"

ผมยังคงเคาะประตูห้องต่อไป แต่ไม่มีเสียงตอบ ผมเลยลองเอาหูแนบไปกับประตู 
เหมือนจะได้ยินเสียงอาบน้ำนะ

เลยคงทำให้เค้าไม่ได้ยินผมมั้ง>>>

จังหวะนั้นเองที่ผมกำลังจะเอาหน้าออกจากประตู ประตูก็เปิดออก แล้วก็มีมือใหญ่มาจับข้อมือผม แล้วลากเข้าไปในห้อง ผลักผมเข้าชิดกำแพง จับข้อมือทั้งสองข้างชูขึ้นติดกำแพง แล้วระดมจูบมาที่หน้าผม
"พี่ถิงๆ อย่าๆๆ ผมเจ็บแขน พี่จะทำอะไร!!!"

"พี่จะทวงค่ากระเป๋าไงล่ะ แค่นี้ไม่เข้าใจรึไง เสื้อผ้าที่ใส่ก็ของพี่ พี่จะเอาคืน!!!"

หลังจากนั้นเค้าก็ยังคงระดมจูบมาที่ซอกคอและแก้มไม่หยุด ผมดิ้นคลุกคลักอยู่ติดกำแพง ผมหันหน้าไปมาต้านทานแรงจูบตรงหน้า จนพอจะพูดออกมาได้

"พี่ถิง ผมไม่ต้องการของพวกนั้น พี่เอาคืนไปสิ" 

คราวนี้พี่ถิงหยุด และจ้องหน้าผม ตอนนี้ผมมองที่ตัวเค้าชัดเจนขึ้น ท่อนบนเปลือยเปล่าเหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ด้านล่างมีแค่ผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่มัดไว้หลวมๆที่เอว...

เค้ายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นตัวและสบู่ที่คละเคล้ากันหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ นี่ถ้าเค้าไม่รุนแรงมาก ผมคงเคลิ้มไปอย่างง่ายดาย เพราะร่างกายและแผงอกแน่นตรงหน้า มันช่างปลุกเร้าส่วนล่างของผมจริงๆ 

"เฟิงเฟิง จะให้พี่ทำยังไง พี่เป็นห่วง พี่บอกไม่ได้ว่าทำไม 
รู้แต่ว่าพี่ไม่อยากให้คนที่พี่อยากอยู่ด้วยหายไปไหนอีกแล้ว" 

ผมนิ่งฟัง คราวนี้เค้าจูบเบาๆลงมาที่ปากผม มันต่างจากตอนแรกมาก 
เป็นจูบที่บอกให้ผมรู้ว่าเค้าอยากอยู่กับผมจริงๆ 

เค้าค่อยๆคลายมือออก แล้วเอามาจับไว้ข้างหน้าอย่างหลวมๆ ผมเลยตัดสินใจถามออกไป

"พี่ถิง พี่ต้องการผมจริงๆเหรอ" นี่ผมกล้าอีกแล้ว!!! กล้ามากสินะที่พูดสิ่งที่อยากรู้ที่สุดตอนนี้ออกไป

       
                                                               โปรดติดตามตอนต่อไป........












วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทที่ 2

รอรัก...ที่ปารีส 

Love me=>if you dare

บทที่ 2 Macaron มาการอง

ยังจำกันได้ใช่มั้ยครับ ผม"หลี่อี้เฟิง" รับงานพิเศษพานักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดต่อมาแบบส่วนตัว เพื่อมาเที่ยวปารีส ตอนนี้ผมอยู่ในสวนของพระราชวังแวร์ซายกับเค้าคนนี้ "เฉินเหว่ยถิง" ผู้ขโมยจูบแรกของผม และกำลังจูบผมเป็นครั้งที่สอง แต่ที่น่าเจ็บใจคือ ผมชอบเค้าจูบมากเลยครับ มันหวานจนผมแทบลืมหายใจ นี่ผมยังไหวมั้ยเนี่ยะ

"เอ้ยๆๆ ตัวแสบ แมวใจกล้า เงียบไปเลยนะ พูดอะไรกับพี่หน่อยสิ พี่อุตส่าห์จำนายได้แล้วนะ" เหอะ!!!ใช้คำว่าอุตส่าห์ แสดงว่าไม่ได้อยากจะจำงั้นสิ เอาเถอะ พี่เค้าคงแกล้งผมเล่นอีกแล้ว

"เอ่อ ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบัง เรื่องมันก็นานแล้ว อีกอย่างผมถามหม่าเทียน หลังจากวันนั้นไม่นานพี่เรียนจบแล้วก็ย้ายไป ผมคิดว่าพี่คงจำผมไม่ได้จริงๆ" ผมแอบคิดด้วยซ้ำว่าเค้าย้ายบ้านหนีผมหรือเปล่า

"เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมัน แต่ตอนนี้พี่จำได้หมดแล้วนะ คราวนี้อย่ามาทำว่าเราไม่สนิทกันอีกล่ะ พี่ขอเตือน ไม่งั้นสงสัยต้องเตือนความจำกันบ่อยๆ"ว่าแล้วเค้าก็ยื่นหน้ามาใกล้ คราวนี้ผมเลยร้องขึ้น

"เอ่อ...พวกเราไปกันเถอะครับนี่ก็บ่ายมากแล้ว เดี๋ยวต้าหลุนจะคอยนาน เข้าไปในเมืองรถจะติดด้วย"
ผมรีบตัดบทไปก่อนจะเคลิ้มต่อปากเรียวสวยตรงหน้าอีก 

พออยู่บนรถ พี่ถิงไม่พูดไม่จา มานอนบนตักผมเหมือนตอนขามาไม่มีผิด อะไรกันเนี่ยะ!!! เป็นนายจ้างที่เอาแต่ใจชะมัด ผมเงียบไม่พูดและไม่ขยับตัว พี่ถิงดูหลับสบาย หน้าได้รูปที่แฝงความเจ้าเล่ห์ไว้เนี่ยะ พอเวลาหลับแล้วก็น่ารักดีนะ ท่ามกลางความเงียบต้าหลุนก็พูดขึ้นมาว่า

"คุณอี้เฟิงครับ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณอยู่กับคุณถิงไปตลอดเลย" อะไรนะ!!! นายต้าหลุนนี่อะไรของเค้า

"ทำไมล่ะครับ" ผมเลยถามออกไป

"คุณรู้มั้ย ผมไม่เคยเห็นคุณถิงยิ้มและหัวเราะ มากแบบนี้มานานแล้ว ยิ่งตั้งแต่ปีก่อน ที่คุณหนูหายไป"

"ต้าหลุน นายเงียบเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะพักผ่อน" คนตัวใหญ่ที่ถือวิสาสะนอนตักผม เค้าได้ยินแฮะ ดีนะที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปมาก แล้วต้าหลุนก็เงียบไป ตกลงเกิดอะไรขึ้นกับพี่ถิงบ้าง ผมก็ไม่รู้ แต่ต้องมีเรื่องร้ายแรงแน่ๆ ไม่งั้นต้าหลุนคงไม่พูดแบบนี้ แต่ช่างเถอะ อีกไม่กี่วัน ก็หมดหน้าที่ไกด์จำเป็นแบบผมแล้ว ก็คงไม่มีอะไรอีก...

หลังจากนั้นเราก็แวะทานอาหารเย็นง่ายๆที่ร้านข้างทาง เมื่อมาถึงโรงแรม ผมก็ได้มาที่ห้องสวีทนี้อีกครั้ง ด้านในแบ่งเป็น ห้องรับแขกด้านนอก ห้องแต่งตัว ห้องน้ำ 2 ห้องอยู่ในห้องพี่ถิงและด้านนอกอีกห้อง ต้าหลุนก็พาผมไปพักห้องข้างๆที่อยู่ติดกับห้องพี่ถิง แล้วบอกว่าผมต้องอาบน้ำห้องเดียวกับเขา ซึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ผมยังไงก็ได้ อย่าให้ไปอาบกับกอริลล่านั่นก็พอ >>>> 

พอผมเข้ามาที่ห้อง ก็พบว่าในตู้มีแต่เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ซึ่งน่าจะเป็นของพี่ถิง เค้าคงไม่มีที่แขวนล่ะมั้ง แต่แล้วผมก็มองหากระเป๋าผม ไหนล่ะกระเป๋าผม!!! ผมหาทั่วห้องก็ไม่มี จึงเดินออกไปนอกห้อง พบพี่ถิงนั่งดูเอกสารบางอย่างและพิงโซฟาอย่างสบาย โดยมีต้าหลุนยืนชี้ให้ดูจากด้านหลัง ผมจึงถามไป

"มีใครเห็นกระเป๋าใบเมื่อเช้าของผมมั้ยครับ ที่ใบใหญ่ๆ"

"อ้าวก็พี่ให้คนเอาไปเก็บในห้องแล้วนี่ ใช่มั้ยต้าหลุน" 

"เอ่อ...คุณถิงสั่งให้เอากลับไปคืนบ้านเช่าคุณอี้เฟิงไม่ใช่รึครับ"

"อ้าวเหรอ จำไม่ได้ ไม่รู้เลยนะเนี่ยะ" 


พระ!!! บ้าไปแล้ว อีตานี่ ชักจะมากไปแล้วนะ แล้วดูท่าทางกวนๆนั่นสิ ฮึม!!! นี่ถ้าไม่ติดว่าเค้าเป็นเจ้านายอยู่ล่ะก็...

"งั้นผมจะกลับไปเอา" 

"เอ้!!!! นายนี่ยังไง ให้เอากลับไปก็จะไปเอามาอีก ไหน!!!มานี่สิ ต้าหลุนฝากนายดูเอกสารไปพลางๆก่อนนะ ขอชั้นพาคุณอี้เฟิงไปหาชุดนอนก่อน" ว่าแล้วเขาก็จับมือผมลากๆมาที่ห้องเพื่อดูในตู้ที่เป็นเสื้อผ้าเค้า 

"นี่ไง พี่จะให้ใส่ชุดพี่ ชุดนอนพี่ก็มีตั้งหลายชุด ใส่ไปก่อน อ้อ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปช็อปปิ้งที่ถนนช็องเซลิเซ่กัน ตกลงตามนี้ ทัวร์พรุ่งนี้ซื้อของที่ช็องเซลิเซ่ ออกสบายๆ สัก 9 โมงโอเค้!!!" พี่ถิงเดินเข้ามาประชิดตัวผมมากขึ้นเรื่อยๆจนผมถอยแทบจะติดตู้เสื้อผ้า

"แต่ว่าผมจะนอนไม่หลับ ถ้าไม่มีเอ่อ...ในกระเป๋าผมมีเอ่อ...เติ่งเติงน้อยครับพี่" 

ผมขอแนะนำก่อนนะ เติ่งเติงน้อย เป็นตุ๊กตาลิงที่ตอนนี้มันเน่าๆ ไม่มีมันผมจะนอนไม่ค่อยหลับ มันเป็นตุ๊กตาที่แม่ให้ผมมาด้วยตอนมาเรียนที่นี่ มันเหมือนผมมีแม่และมีอะไรให้นอนกอด ผมถึงหลับได้
พูดจบผมมุดหน้าหลบลงมองพื้นด้วยความอาย>>>>

"5555555 อะไรนะ ขอชื่ออีกทีสิ เติ่งเติงน้อย มันตัวบ้าอะไร นายนี่มันขำจริงๆ 55555 ตลกชะมัด" ผมว่าเสียงหัวเราะคงดังไปถึงห้องข้างๆแน่ๆ นี่ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้ คนๆนี้ทำให้ผมอายอีกแล้วนะ...

"จะขำอีกนานมั้ย" ผมพึมพำกับตัวเอง เท่านั้นแหละ พี่ถิงก็ยื่นมือสองข้างมาแปะที่ประตูตู้เสื้อผ้า ซึ่งทำให้หน้าเค้ามาใกล้หน้าผมมาก

"บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าพูดเบาๆ เอางี้นะ คืนนี้น้องเฟิงใส่ชุดพี่นอนไปก่อน พรุ่งนี้ก่อนกลับโรงแรม เราค่อยไปแวะเอาเติ่งเติงอะไรนั่นอีกที แต่บอกเลยนะ พรุ่งนี้พี่จะซื้อเสื้อผ้าที่ช็องเซลิเซ่ให้ใหม่ทั้งหมด ตลอดการเที่ยวหลังจากนี้ น้องเฟิงจะต้องใส่ชุดที่เราไปซื้อกันพรุ่งนี้เข้าจั้ย!!! นี่เป็นค่าเหนื่อยสำหรับทริปนี้ด้วย ตามข้อตกลง" พูดจบเขาก็หอมแก้มผมมาทีนึง

"โอ้ย นายนี่มันน่ารักชะมัด 55555" เสร็จแล้วเค้าก็เดินผิวปากสบายอารมณ์ออกไป ปล่อยผมที่กำลังอึ้ง นั่งลงกองหน้าตู้ อะไรของเค้าฟระเนี่ยะ

หลังจากนั้นผมก็ต้องทำตามแต่โดยดี ช่วยไม่ได้ นี่มันก็ดึกแล้ว ผมจึงไปอาบน้ำ พร้อมหยิบชุดนอนตัวหลวมๆสบายๆของคนตัวใหญ่นี่มาใส่ มันเหมือนมีกลิ่นหอมจางๆ ของตัวพี่ถิงมาด้วย ทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก 
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ กอริลล่ายักษ์ นอนหลับอยู่ที่เตียงผมครับ!!!

ช่วยด้วย!!!นี่มาได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะนอนยังไงกันล่ะทีนี้ 

คนตรงหน้าดูเหมือนจะหลับจริงๆ ผมควรทำยังไง ควรปลุกเค้ามั้ย ถ้าเขาตื่นแล้วอาละวาดใส่ผมล่ะ หรือผมจะไปตามต้าหลุนมาดี ผมได้แต่นั่งจ้องหน้าเค้า แล้วก็เริ่มสำรวจไปทั่ว เค้าเป็นคนรูปร่างดีมาก 
ผมคิดอะไรเตลิดเปิดเปิงไปเรื่อย ไม่ได้ๆๆ ผมต้องปลุกเค้าก่อน 

"พี่ถิงครับ พี่ถิงๆๆ พี่มานอนตรงนี้ได้ยังไง นี่มันห้องผมนะ พี่กลับไปนอนที่ห้องพี่สิ" ผมจับแขนเขาเพื่อลากให้เขารู้สึกตัว เขารู้สึกตัวแล้วดึงผมไว้จนผมหงายลงนอนบนเตียง

"ไหน นี่ห้องใคร นี่มันห้องพี่ทั้งนั้นแหละ นี่ก็เตียงพี่ อ่ะ พี่ให้เรานอนด้วย นอนข้างๆนี่แหละ 
นายก็คิดซะว่าพี่เป็นเติ่งเติ๋งอะไรนั่นของนายก็แล้วกัน จะได้นอนหลับ" เขาพูดเสร็จก็นอนหงายไปข้างๆผม 
อะไรของเขาเนี่ยะ ผมจะหลับได้ยังไง ถ้าเขายังนอนข้างๆแบบนี้ ตอนนี้ใจผมเต้นตูมตามไปหมด 
นี่ผมตื่นเต้นอะไรนักหนา กับกอริลล่าที่นอนด้านข้างและหายใจแรงแบบดูเหมือนจะหลับไปแล้วจริงๆ 

คืนนั้นทั้งคืน พี่ถิงดูหลับสบายมาก แต่ผมนี่สิ หลับๆตื่นๆ เพิ่งได้มาหลับจริงตอนรู้สึกตัวว่าคนข้างๆลุกไปอาบน้ำแล้ว 

ตอนเช้าผมอาบน้ำแต่งตัว และออกมาด้วยชุดของพี่ถิงที่ผมคิดว่าใส่ได้มากที่สุด แต่ก็ยังดูหลวมๆอยู่ดี 

พี่ถิงนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะก็เอ่ยทัก

"เป็นไงน้องเฟิง หลับสบายดีมั้ย พี่หลับสบายมากเลยนะ" แหมๆ ร่าเริงมาก เห็นหน้าผมมั้ยว่าตาเป็นแพนด้าแล้วเนี่ยะ แต่ขี้เกียจตอบอะไรให้มันเจ็บแค้น ผมจึงถามไปว่า

"ต้าหลุนล่ะครับ ไม่เห็นเลย" 

"พี่ให้เค้าไปทำธุระให้ วันนี้เราจะไปเที่ยวกันสองคนนะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จก็ไปกันเลย"

การไปเดินช็องเซลิเซ่วันนี้ แตกต่างจากทุกครั้งที่ผมเคยเดิน เพราะบางร้านผมไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้เข้า 

เสื้อผ้าบางยี่ห้อ ผมอยากเข้าไปดูแบบและเรียนรู้ แต่มันแพงจนผมไม่กล้าเข้าไป แต่วันนี้พี่ถิงถามผมว่าเข้ามั้ย ร้านนี้อยากเข้ารึเปล่า ผมเลยอดไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ผมเลยขอเข้ามันทุกร้านที่ไม่เคยได้เข้า วันนี้ผมเหมือนพระนางมารีอังตัวแน็ตมาช็อปปิ้งจริงๆครับ แย่ชะมัดที่ผมชอบมาก...

เสื้อผ้าที่พี่ถิงซื้อให้นี่มันแฟชั่นมาก จนผมยังอึ้งว่าตกลงใครเรียนแฟชั่นกันแน่ และแล้วก็มาถึงร้านหลุยส์วิกตอง แบรนด์เนมยี่ห้อดังที่ใครๆก็ต้องมา ร้านนี้มีคนต่อแถวมากมาย เค้าจำกัดทั้งคนเข้าและจำนวนของที่ซื้อ แต่พี่ถิงยืนยันว่าจะเข้า  

ผมเลยได้มีโอกาสเข้าไปกับเค้าด้วย ในร้านมีกระเป๋าหลายแบบ ที่ผมไปยืนดูคือกระเป๋าสตางค์ใบเล็กของผู้ชาย แค่อยากดูว่าเค้าตัดเย็บยังไง ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ พี่ถิงมายืนข้างหลังผมแล้วถามว่า

"ไง เรา ชอบเหรอ??" 

"เปล่าครับ แต่เห็นว่ามันสวยดี ตัดเย็บก็ดี แต่ละใบก็มีเอกลักษณ์ ลายไม่เหมือนกันเลย"

"งั้นพี่ซื้อให้ เอาใบนี้ครับ" เขาชี้ไปที่ตู้แล้วคนขายก็หยิบออกมาให้ดู พี่ถิงคุยภาษาอังกฤษกับพนักงาน เขาไม่ต้องให้ผมช่วย แต่ไม่ได้นะ จะมาซื้อกระเป๋าแพงๆแบบนี้ให้ผมทำไม!!!

"ไม่เอาครับพี่ ผมมีกระเป๋าเก่าอยู่แล้ว"

"เอ๊ะ น้องเฟิง พี่บอกว่า พี่จะซื้อให้ ทำไม ของที่พี่ให้นี่ไม่อยากจะรับงั้นสิ" 

"เปล่านะครับ ผมเกรงใจ"

"ก็พี่บอกว่าพี่จะให้ ถ้านายขัดใจพี่อีก พี่จะยกเลิกการทัวร์แล้วนะ " เอาอีกแล้ว เอามุกนี้มาขู่อีกแล้ว แล้วจะยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นทำไมเนี่ยะ

"งั้นเอาแบบนี้ พี่ให้จริงๆนะ แต่จะขอให้เราติดหนี้พี่ไว้ก่อน ไว้คิดออกว่าพี่อยากได้อะไร จะมาทวงค่ากระเป๋า แบบนี้ก็เสมอกัน โอเคมั้ย"

ฟังๆแล้วผมก็ยังงงๆ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า ว่าหน้าคนเจ้าเล่ห์นั่นดูเหมือนจะชอบใจอะไรบางอย่าง

"อันดับแรก ต่อไปนี้พี่จะเรียกน้องเฟิงว่าเฟิงเฟิงนะ ส่วนน้องเฟิง พี่อยากให้เรียกพี่ว่าเติ่งเติ๋ง 5555 ตามนี้นะ" 

โอ้ย!!! นี่มันบ้าอะไร เติ่งเติง เค้าต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ นี่อยากจะเป็นตุ๊กตาลิงเน่ารึไงนะ

"ไม่เอาอ่ะ ผมยอมให้พี่เรียกเฟิงเฟิงได้ แต่ผมไม่เรียกพี่ว่าเติ่งเติงเด็ดขาด ผมยอมรับกระเป๋าที่พี่ซื้อให้อย่างไม่เต็มใจ พี่ยังจะมาบังคับผมอีก ผมไม่ใช่คนที่จะมาให้พี่เล่นสนุกนะครับ" ว่าแล้วผมก็เริ่มเคืองเลยเดินออกมาจากร้าน พี่ถิงได้ของแล้วเลยรีบตามออกมา

"เฟิงเฟิงๆ เดี๋ยวก่อนๆ โอเคๆ อย่าเพิ่งงอนสิ แหมๆ ทำตัวเป็นแมวขี้งอนไปได้ เอางี้เดินมาจนเหนื่อยแล้ว แล้วก็เย็นมากแล้วด้วย แต่พี่อยากกินขนม มันมีขนมอย่างนึงที่พี่ต้องกินให้ได้ มันเป็นเหมือนคุ้กกี้สองอันติดกัน แล้วมีใส้ตรงกลาง เป็นสีๆ หลายสีมาก มีคนเคยทำให้พี่กิน เค้าบอกว่าต้องมากินร้านต้นตำหรับที่นี่ เฟิงเฟิงรู้จักมั้ย"

เออ...ถามเรื่องแบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย ผมไม่อยากจะเชื่อว่ากอริลล่ายักษ์ตรงหน้าจะอยากกินขนมหวาน ที่เรียกว่า มาการอง มันดูไม่เข้ากันเลย

"อ้อ เค้าเรียกว่ามาการองครับพี่ มีร้านเก่าแก่เลยที่นี่ ชื่อร้าน ลาดูเร่ (LADURÉE) เป็นร้านดังที่ใครๆที่มาที่นี่ก็ต้องมากิน ผมเคยซื้อกินชิ้นสองชิ้น เพราะมันแพงมากครับ" 

"ไม่เป็นไร พี่อยากกิน เราไปร้านนี้กัน" ผมแปลกใจว่าทำไม เขาดูตั้งใจอยากกินมาก 

พอไปถึงร้าน คนแน่นตลอดเลย ทุกครั้งที่ผมมา ผมก็เลยสั่งมาการองมาหลายสี มีไส้หลายๆแบบ เพื่อให้พี่ถิงลองกิน ถ้าจะให้อร่อย ต้องกินกับชาอังกฤษก็ดีมากนะ ผมเลยกะว่าจะกลับไปชงชาเอิร์ลเกรย์ที่ผมชอบให้พี่ถิงกินด้วย ผมเห็นมีชาอยู่ในครัวนี่นา

หลังจากได้มาการองมาแล้ว เมื่อมาถึงห้องผมก็ขอโชว์ฝีมือชงชาสไตล์ยุโรปที่มีติดตัวมาบ้าง กะความร้อนและน้ำให้พอดีกับชา มันถึงจะอร่อย แล้วผมก็เอามาการองจัดใส่จาน พร้อมยกชุดน้ำชาหรูที่ทางโรงแรมมีให้ไปวางที่โต๊ะอาหาร

"มาการองที่ดีเวลากินจะละลายในปากเลยนะครับพี่" พอผมมองคนตรงหน้า เค้าถือมาการองขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างตั้งใจ ดูแปลกมากในสายตาผม เค้าค่อยๆกัดทีละนิดแล้วหลับตา ทำหน้าเหมือนซาบซึ้งจนผมคิดว่ามันอร่อยจนเขาจะร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ 

"เฟิงเฟิงรู้มั้ย ตอนอยู่ที่บ้าน พี่ได้กินหลายครั้งเลย แต่พอ...." เขาไม่พูดต่อ ผมเห็นนัยตาเค้าดูเศร้า ผมไม่อยากเห็นภาพแบบนั้น

"พี่ถิงครับ ลองชิมรสนี้สิ ผมชอบที่สุด รสช็อคโกแลต" ผมกำลังจะยื่นให้เขา

"ไม่เป็นไร เฟิงเฟิงกินสิ" เขาเอามือมาดันมือผม แล้วหันไปยกชาขึ้นมาจิบแล้วมองผม

ผมจึงกินมาการองอันนั้นเป็นรสที่ผมชอบ ยังไม่ทันหมด พี่ถิงวางถ้วยชา แล้วลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมาหาผม เอามือมาจับมือผมออก แล้วเอาปากมาจ่อ พร้อมกินมาการองรสช็อคโกแลตที่ผมกินด้วย เมื่อหมดชิ้น ปากเราก็มาชนกันพอดี 

คราวนี้พี่ถิงเอาลิ้นเข้ามาตวัดลิ้นผมเหมือนจะไล่หาความหวานจากมาการองต่ออีก ผมจึงตอบรับลิ้นนั้นเป็นอย่างดี แล้วให้เค้าได้ลิ้มรสความหวานได้อย่างเต็มที่ หลังจากนั้นพี่ถิงยืนขึ้นแล้วเอาตัวมาติดกับผม พร้อมกับเลียนิ้วผมที่เปื้อนคราบช็อคโกแลตด้วย อร๊ายๆๆๆ ผมรู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาเลย...

"อืม อร่อยจริงๆแหละ ขออีกชิ้นได้มั้ย!!!"

คนตรงหน้าผม ทำไมถึงได้สายตาหวานเยิ้มปนร้ายกาจอีกแล้วนะ เขาชอบทำให้ผมอยากจะมุดหน้าแทรกไปทุกที แต่ความเศร้าตอนแรกมันคืออะไรนะ เขาดูน่าสงสารมาก มันเริ่มทำให้ผมอยากรู้ซะแล้วสิ 
ว่าแต่บนโต๊ะยังเหลือมาการองอีกหลายชิ้น เขาจะกินต่ออีกเหรอเนี่ยะ!!!


                                                โปรดติดตามตอนต่อไป.....











วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทที่ 1



รอรัก...ที่ปารีส 

Love me =>if you dare


บทที่ 1 Château de Versailles ชาโต เดอ แวร์ซาย (พระราชวังแวร์ซาย)

                 ผมยังคงตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ยังจำได้ใช่มั้ยครับ ผม"หลี่อี้เฟิง" รับนำเที่ยวให้กับคนจีนที่มาเที่ยวกรุงปารีสแบบส่วนตัว เพื่อหารายได้พิเศษเสริมครับ ตอนนี้ผมยังนั่งประจันหน้ากับคนตัวใหญ่ที่ดูทะเล้นๆ และเอาแต่ใจคนนี้ เขาคือจูบแรกของผม "เฉินเหว่ยถิง"ครับ
  
"คุณอี้เฟิง ว่าไง ได้ยินที่ผมพูดมั้ย ตกลงเราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่าครับ ผมคุ้นๆแต่จำไม่ค่อยได้" คนตรงหน้ายังคงถามต่อไป

"เอ่อ...เอ่อ ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เอาเป็นว่าคุณพอจะบอกโปรแกรมคร่าวๆ หรือสถานที่ๆอยากไปได้มั้ยครับ ผมจะได้จัดโปรแกรมให้ถูก" ผมถามเพราะไม่อยากให้เขาจ้องหน้าผมไปเรื่อยๆแบบนั้น ตอนนี้ใจผมมันเต้นแรงขึ้นจริงๆนะครับ

"อ่อ ก่อนจะพูดเรื่องโปรแกรม ผมได้ตกลงเรื่องค่าจ้างของคุณไว้กับคุณซาแมนธาแล้วนะครับ แล้วก็พรุ่งนี้อย่าลืมเอาเสื้อผ้ามาด้วยล่ะ แต่จริงๆก็ไม่เป็นไร ผมมีเยอะแยะ คุณจะใส่ของผมบ้างก็ได้นะ หรือถ้าไม่ชอบ ไว้วันไหนเราไปเดินช็องเซลิเซ่ก็แล้วกัน" 

"คือยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ ป้าซาแมนธาบอกแค่ว่าให้มาคุยกับคุณวันนี้ และพอดีกับช่วงนี้ผมเหลือวิชาเรียนไม่มาก สลับตารางได้ เลยจัดให้ว่างในวันที่คุณมาได้พอดี คุณจะให้ผมเอาเสื้อผ้ามาทำไมครับ"

"ผมบอกแล้วนะ ว่าผมหน่ะเอาแต่ใจ คือจากนี้ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าวันไหนจะทำอะไร รวมทั้งยังไม่รู้จะไปไหนบ้าง ดังนั้นคุณต้องมาพักกับผม ต้าหลุนก็ต้องไปๆมาๆ พบลูกค้าและนัดลูกค้าให้ผมด้วย ว่างบ้างไม่ว่างบ้าง แถมทั่วทั้งปารีสนี่ผมก็ไม่รู้จักใคร คุยกับใครก็ได้แค่ภาษาอังกฤษ ผมเลยอยากให้คุณมาพักด้วยกัน ห้องก็ยังมีเหลืออีกห้องพอดี ไม่ดีเหรอคุณอี้เฟิง อยู่ฟรีเลยน้า"

"เอ่อ...ผมเดินไป เดินมาก็ได้นะครับ ที่พักก็ไม่ได้ไกลมาก" ผมตอบออกไปเพราะไม่รู้จะทำยังไง ผมไม่อยากมาอยู่ร่วมกับเค้า ก็ผมกลัวเค้านี่นา>>>>

"เอ๊ะ!!! คุณนี่แค่วันแรกก็ขัดใจผมแล้วนะ งั้นคุณก็กลับไปบอกคุณป้าซาแมนธาของคุณเลยละกันว่าผมขอเงินที่จ่ายไปคืนทั้งหมด ดูสิว่าป้ากะลุงเจ้าของบ้านคุณจะว่ายังไง? 55555" เขาพูดแล้วก็หัวเราะเสียงดังเหมือนไม่ได้หงุดหงิดนะ แต่ดูสะใจเสียด้วยซ้ำไป นี่มันบ้าไปแล้ว!!!

"นี่เราเคยชอบคนแบบนี้ได้ยังไงเนี่ยะ" ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง

"อะไรกันคุณ พูดอะไรก็พูดดังๆสิ ตกลงตามนั้นนะ อ้อ วันอื่นผมยังคิดไม่ออก แต่ที่ๆผมอยากไปพรุ่งนี้คือ พระราชวังแวร์ซาย อยากจะไปดูว่าเค้าสร้างยังไง สวยและใหญ่แค่ไหน เผื่อจะเอาแบบกลับไปสร้างบ้าง 5555"

"นี่บ้ารึเปล่า จะสร้างบ้านตัวเองเป็นแบบแวซายส์ นี่ต้องไม่ปกติแน่ๆ" ผมยังคงพึมพำต่อไป

"เอ้ คุณนี่ ผมบอกแล้วว่าให้พูดดังๆ ไม่เข้าใจรึไงนะ ตัวก็เล็กยังทำเสียงงุ้งงิ้งอีก ผมจะได้ยินมั้ยล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจ้างรถไว้แล้วตอนเช้าคุณก็เอาเสื้อผ้ามาแล้วมาเจอผมที่ล็อบบี้ข้างล่าง ต้าหลุนคงไปด้วย เพราะผมจะให้ช่วยดูรายละเอียด ตามนั้นนะ กี่โมงดีล่ะคุณอี้เฟิง"

"สัก 8 โมงก็ได้ครับ ถ้าจะไปแวซายส์จากที่นี่ต้องนั่งรถไปอีกเป็นชม. ผมจะได้จองตั๋วเข้าไว้ให้ก่อน รวมผมก็ 3 คนนะครับ" อีตานี่ วันแรกก็จะไปไกลเลยนะ เอาแต่ใจชะมัด แถมยังต้องมานอนที่นี่อีก เฮ้อ!!!จะบ้าตาย

"ได้ๆ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย คุณก็ไปเบิกที่ป้าซาแมนธาได้เลยนะ แต่ระหว่างที่คุณพาเที่ยวจำไว้ ผมออกเองโอเคนะ พรุ่งนี้เจอกัน ว้าวๆๆ ผมตื่นเต้นมาก ไปมาก็หลายที่นะ แต่ไม่ค่อยได้เที่ยว นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้มาเที่ยวจริงๆซะที" คนตัวใหญ่ตรงหน้าผมตอนนี้ หน้าตาดีใจเหมือนเด็กเลยแหละครับ เค้าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนมานานจริงๆ นี่อย่าบอกนะ ว่าจะให้ผมพาไปดิสนี่ย์แลนด์ด้วย โอ้ยๆๆ จะบ้าตาย!!!

เช้าวันต่อมา ผมก็แบกกระเป๋าใบใหญ่มา ช่วยไม่ได้ ผมไม่ใส่ของเขาหรอก เสื้อผ้าผมก็มีเยอะนะ ผม"หลี่อี้เฟิง" นักเรียนปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยที่เป็นหนึ่งด้านแฟชั่น จะน้อยกว่านี้ได้ยังไง...

 อ้อ!!! ผมลืมบอก ก็ผมเรียนการออกแบบและแฟชั่นดีไซน์ ลงเรียนการแสดงบ้างบางครั้ง ช่วยไม่ได้ ชอบมีคนจากเอกการแสดงมาจับผมไปแสดงด้วย ทุกคนชอบบอกว่าหน้าผมหวาน ตาโต ตัวเล็กและสวยเหมือนผู้หญิง แล้วก็จับผมไปเล่นเป็นนางเอกทุกทีเลย.....

"โอ้โฮ!!! คุณ จะแบกอะไรมานักหนา บอกแล้วว่าเสื้อผ้าผมก็เยอะแยะ ตัวคุณก็ไม่ได้ใหญ่ จะใส่อะไรมากมาย" วันนี้พี่ถิงแต่งตัวสบายๆอีกแล้ว เขาเป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูเท่ห์ไปหมดสิ

"เอาเถอะครับ ให้ผมเอาของไปเก็บเลยมั้ย" ผมถามก่อนที่คนชอบออกคำสั่งตรงหน้าจะบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวจะมีคนมาเอาไปเก็บให้ คนรวยนี่สบายจริงๆเลยนะ

"ไปกันเถอะ ผมอยากเที่ยวจะแย่แระ" คนตัวใหญ่ตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าอยากไปมาก

ระหว่างทางที่นั่งรถกันไป ผมคงต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้างแหละล่ะครับ จึงพูดออกไปว่า
"ถ้างั้นผมขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับแวร์ซายให้คุณฟังก่อนก็แล้วกันนะครับ" 

"นี่คุณอี้เฟิง คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณทุกคำได้มั้ย ผมอยากมาแบบสบายๆ กันเอง เรียกผมว่าพี่ถิงก็แล้วกัน ใครที่สนิทกับผมก็เรียกแบบนี้ทั้งนั้น" คนชอบสั่งก็มาเรื่องเยอะอีกแล้ว กับอีแค่คำเรียก

"ผมเรียกว่าคุณก็ดีอยู่แล้วหนิครับ เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น"ผมแย้งไป
"เอาน่า สักพักก็สนิทกันเองแหละ ผมรู้สึกถูกชะตา มันคุ้นๆสายตาแบบนี้ที่ไหนไม่แน่ใจ งั้นเอาเป็นว่าผมเป็นพี่ถิงของคุณ ส่วนคุณก็เป็นน้องเฟิงของผมก็แล้วกัน แบบนี้นะ จะได้เที่ยวกันแบบสนุกสนาน 555"

คนเอาแต่ใจตรงหน้าหัวเราะอีกแล้ว เสียงเวลาเขาหัวเราะมีความสุขผมชอบมาก แต่อร๊าย!!!ผมเป็นน้องเฟิงของเขาไปแล้ว ผมว่ามันขนลุกแปลกๆนะ แต่ช่วยไม่ได้ นายนี่ก็พูดถูก หลักการของการท่องเที่ยวคือ คนในทริปควรสนิทกันไว้ ผมยึดถือมาเสมอ แล้วผมก็ต้องเที่ยวกับเขาอีกตั้งหลายวัน

"ครับพี่ถิง งั้นผมจะเล่าให้ฟังก่อน ชาโต เดอ แวร์ซาย มาจากคำว่า...ชาโตคือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ อย่างเช่น วัง ซึ่งอยู่ในเขตแวร์ซายเป็นเมืองที่อยู่ขอบๆกรุงปารีส เมืองนี้เป็นเมืองชนบท เล็กๆน่ารัก โดยที่พระราชวังแวร์ซาย  ตอนนี้ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้วด้วย" ผมเล่าไปพร้อมมองคนข้างๆเขาดูตั้งใจฟังมาก ส่วนต้าหลุนที่นั่งข้างหน้าก็จดๆๆอะไรไม่รู้ตลอดเวลา ดูเหมือนจะคอยเก็บข้อมูลทุกอย่าง

ผมเล่าประวัติคร่าวๆ พร้อมกับชี้ให้ดูตามเส้นทางที่ผ่าน วันนี้อากาศดีมากๆ ฟ้าเปิดและมีทุ่งหญ้ากับบ้านข้างทาง มองไปแล้วสวยงามจริงๆ พี่ถิงดูสงบและมีความสุข เขายิ้มและหัวเราะเมื่อผมเล่าเรื่องวีรกรรมที่เคยผ่านมาแถวนี้ให้ฟัง จนกระทั่งเขาพูดขึ้น

"นี่เปิดหน้าต่างด้านนี้หน่อยได้มั้ย ฉันอยากรับลมหน่อย" กระจกด้านข้างตัวผมก็เปิดออก พี่ถิงยื่นหน้าผ่านหน้าผมไป ใกล้จมูกผมนิดเดียว 

"นี่น้องเฟิง อีกไกลมั้ยกว่าจะถึง" เขาถามพร้อมหันหน้าที่ปะทะลมมาหาผม
"ไม่ไกลแล้วครับ สักพักจะถึงแล้ว" พอผมพูดจบ เขาก็หลับตาแล้วหันหน้าออกไป บอกว่า

"ผมไม่อยากไปไหนเลย ผมเหนื่อย ผมอยากอยู่แบบนี้จัง" ไม่น่าเชื่อนะครับ คนเอาแต่ใจแบบเขา พอเข้าโหมดน่าสงสาร ผมรู้สึกว่าเค้าน่าสงสารจริงๆ จนอยากจะเข้าไปกอด นี่ผมคิดอะไรเนี่ย!!!

ทันใดนั้น ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาเลื่อนหัวลงมานอนที่ตักผม เงยหน้ามาแล้วบอกว่า
"ปิดกระจกได้ น้องเฟิง ขอนอนหลับแป๊บนะ" แล้วเขาก็หลับตาลง เฮ้ยๆๆๆ พี่ครับ พี่จะมานอนอะไรตรงนี้ 

ตอนนี้ขาผมไม่กล้าขยับ อะไรกัน ดีนะว่าใกล้จะถึงแล้ว เขานอนอยู่ไม่นานก็ถึงหน้าพระราชวังแวซายส์พอดี>>> 

พอคนขับรถบอก เค้าก็ขยับตัวบิดขี้เกียจไปมา จนแทบจะชนหน้าผม คนๆนี้ทำไมถึงได้ตัวใหญ่เกะกะไปหมดนะ ตัวอย่างกับลิงกอริลล่าแหนะ 

พอเราลงจากรถไปก็พบคนเยอะตรงที่ซื้อตั๋วเข้า ดีนะที่ผมซื้อตั๋วล่วงหน้ามาแล้ว เราก็เลยไม่ต้องรอนาน ผมจึงเล่าต่อให้เขาฟังตอนเดินเข้าไป...

"ในพระราชวังแวร์ซาย ประกอบด้วย 3 ส่วนครับ คือส่วนตัววัง ส่วนที่เป็นสวน และส่วนหมู่บ้านของพระนางมารีอังตัวเน็ต ที่จะต้องเดินไปอีกเป็นชม. ผมคิดว่าเราอาจะเที่ยวได้แค่ 2 ส่วนคือตัววังกับสวนนี่แหละครับ ตอนนี้เราจะเข้าไปที่วังกันก่อนเลยนะครับ"

ระหว่างที่เดินเข้าไปผมจึงบรรยายต่อ"ภายในนี้บางส่วนเขาห้ามถ่ายรูปนะครับ เราจะไปชมส่วนที่เรียกว่าห้องกระจก เป็นท้องพระโรงขนาดใหญ่ เคยใช้สำหรับเซ็นต์สัญญาสงบศึกในสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย"

"น้องเฟิง ชอบห้องไหนที่สุดในวังนี้เหรอ พี่อยากรู้" 

"เอ่อ...ถ้าจะให้ตอบจริงๆก็คงเป็นห้องบรรทมของพระนางมารีอังตัวเน็ตนะ ผมว่ามันคลาสสิคดีครับ" ผมตอบแบบไม่ได้คิดมาก ผมชอบจริงๆนะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน...

เดินมาถึงส่วนที่ถ่ายภาพไม่ได้แต่พี่ถิงก็สั่งต้าหลุน ขีดๆวาดๆ ดูแบบ โต๊ะ ตู้เตียง ในสมัยกระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ใช้ ดูเขาจะสนใจมากจริงๆ พอหมดส่วนวัง ก็ไปถึงส่วนที่เป็นสวน มันใหญ่มากครับ ยังไม่ทันเดินเพราะมันใกล้เที่ยงแล้ว ผมเลยบอกว่า เราควรกินอาหารกันแถวนี้ เพราะมีร้านอาหารหลากหลาย เป็นบรรยากาศในสวนด้วย 

พี่ถิงให้ต้าหลุนไปจัดการสั่งอาหารกับผม ส่วนเค้านั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่ยังไม่ทันไร เค้าก็นั่งจิบไวน์สบายอารมณ์ ตามสไตล์ฝรั่งเศสไปแล้วครับ ทีแบบนี้ล่ะเก่ง พอมาถึงที่โต๊ะ เขาชวนผมกินด้วย ผมเลยตอบว่า

"ผมดื่มไม่ได้ครับ มันจะตัวแดงๆและร้อนมาก ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่" 

"โห น้องเฟิงเนี่ยะ มันอร่อยจะตาย บรรยากาศดีๆ สบายๆ แบบนี้จิบนิดหน่อยจะเป็นไร" 

"ไม่เอาดีกว่าครับ" ดีนะว่าเขาไม่บังคับผม แต่พี่ถิงสิ กินคนเดียวเกือบหมดขวด ต้าหลุนแบ่งไปจิบนิดหน่อย แต่แปลกนะ ไวน์นี่ดูทำอะไรเค้าไม่ได้เลย เค้ายังคงเอร็ดอร่อยกับอาหารและชื่นชมบรรยากาศตรงหน้า รวมทั้งหัวเราะไม่หยุด 

หลังจากอิ่มแล้ว เราจึงเดือนเที่ยวสวนกันต่อ ผมจึงเริ่มบรรยายต่อไป

"สวนด้านหลังนี้ค่อนข้างใหญ่ จุดไฮไลท์ใหญ่อยู่ที่นำ้พุดราก้อน ที่แปลว่ามังกรนั่นแหละครับ มันใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในวังนี้แล้ว ต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีกหน่อย" อ้าว พี่ต้าหลุน ไหวมั้นครับ ทำไมทำหน้าเหนื่อยแบบนั้น"

"โอ้ย คุณถิงครับ ผมเดินไม่ไหวแล้ว จุกด้วย สงสัยเมื่อกี้กินเยอะไปหน่อย แฮะๆ ขอรอแถวนี้ก่อนได้มั้ยครับ"

"เอ้า อะไรกัน ตามใจแก งั้นรอนี่นะ เดี๋ยวเราก็ต้องเดินกลับมาทางนี้อยู่แล้ว ไปกันน้องเฟิง อยากเห็นน้ำพุมังกรนั่นแระ ว่าจะเป็นยังไง เอาไปตั้งที่บ้านได้มั้ยนะ 555" คนตัวใหญ่หัวเราะร่า เขาดูอารมณ์ดี และหน้าแดงนิดหน่อย อาจจะมีฤทธิ์ไวน์ปนอยู่ด้วยนะนั่น

พวกเราเลยเดินไปเรื่อยๆ ผ่านน้ำพุเล็กๆ และต้นไม้ที่ตกแต่งสวยงาม จนมาถึง น้ำพุดราก้อนจนได้ ตรงนี้มีคนไม่มากแล้ว เพราะส่วนใหญ่คงเดินมากันไม่ถึงมาก ที่นี่ค่อนข้างไกลพอควร และทางเดินที่ผ่านมาก็ค่อนข้างร้อน แต่แปลกนะ ตอนนี้จู่ๆก็แดดร่มเลย พี่ถิงเห็นเก้าอี้ขาวตัวยาวข้างต้นไม้ที่เงียบๆไม่มีคนเลย จึงนั่งลงเอามือพาดเก้าอี้อย่างสบาย

"มาๆ น้องเฟิง มานั่งนี่ก่อน พี่ขอดูน้ำพุชัดๆและพักสักครู่นะ" สงสัยจะเร่ิมเหนื่อยเหมือนกัน ผมเห็นว่าบรรยากาศกำลังสบายด้วยจึงนั่งลงข้างๆ เสร็จแล้วคนนั่งข้างๆก็ถามว่า

"บางทีพระเจ้าหลุยส์อาจจะเคยมานั่งชมน้ำพุแบบนี้ก็ได้นะ จริงมั้ย" พูดเสร็จเขาก็หันมายิ้ม 
โอ้ยๆๆ พี่ครับอย่ายิ้มแบบนี้ เหมือนวังนี้มีแค่เราสองคน ผมเห็นหน้าแบบนี้แล้วใจเต้นแรงทุกที>>>>

"เอ่อ ก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ เพราะตรงนี้ก็เก่าแก่มากสำหรับพระราชวังนี้" ผมตอบไปแบบอัตโนมัติ แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่เลิกจ้องหน้าผม ตอนนี้ผมว่าแก้มพี่ถิงดูจะเป็นสีชมพูนิดๆนะ 

"น้องเฟิง พี่ว่าพี่จำได้แล้วนะ" เขาไม่พูดต่อ เอาหน้ามาใกล้ผมขึ้นทุกที จนกระทั่ง...ปากของเราสัมผัสกัน เป็นอีกครั้งที่ผมใจแทบระเบิดออกมาข้างนอก จูบนี่เป็นของจริง!!! คนตรงหน้าจูบบดปากเขาเบาๆเข้ามาอีกเหมือนจะตอกย้ำความจำให้กับตัวเอง ผมเผลอจูบตอบไปด้วย แต่แล้วพี่ถิงจึงถอนปากออก

"นี่เรากล้ามากนะ กล้าไม่เปลี่ยนสินะ แถมยังกล้าที่ทำเหมือนจำพี่ไม่ได้ ปล่อยให้พี่ต้องเตือนความจำตัวเองในแวร์ซายเชียวนะ" โอ้ย ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้ว นี่เค้ามีกล้องวงจรปิด เก็บภาพมั้ย จะมีตำรวจฝรั่งเศสหรือใครมาเห็นพวกเราหรือเปล่า ผมนี่อึ้งไปเลย!!!

"อ้าว!! เงียบ ตัวแข็งทื่อไปเลย 555555" เขาระเบิดหัวเราะอีกแล้ว ผมไม่รู้จะมุดหน้าไปไหนแล้วครับ 
พระราชวังแวร์ซายอันกว้างใหญ่กลับไม่มีที่ให้ผมซ่อนความอายจากคนตรงหน้าเลยรึไงนะ....


                              โปรดติดตามตอนต่อไป...

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทนำ

Love me=>if you dare


บทนำ  Bonjour บงชูร์ สวัสดี

             ตอนนี้เพิ่งหัวค่ำ ผู้คนยังคงเดินสวนกันขวักไขว่ในถนนเส้นหลักของปารีสและเป็นถนนที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในโลก ใช่ครับ!!! ผมกำลังพูดถึง "ถนนช็องเซลิเซ่" 

            ผมกำลังเดินไปตามถนนนี้ ผมเดินผ่านโรงละคร คาเฟ่ และร้านขายของแบรนด์เนมมากมาย ผม"หลี่อี้เฟิง" เป็นเด็กนักเรียนจีน ที่สอบชิงทุนมาเรียนต่อที่นี่ครับ ตอนนี้ผมอยู่มาเกือบ  4 ปีแล้ว มหาวิทยาลัยของผมไม่ห่างจากถนนเส้นนี้นัก ผมจึงใช้การเดินจากมหาลัยเพื่อไปยังโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใกล้ๆตามที่นัดกันไว้

            ผมกระชับเสื้อด้านนอกให้มากขึ้น ช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนจากฤดูร้อนเป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่หนาวเลย หากแต่ก็เริ่มมีลมมาตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ได้ และตอนนี้ผมก็ต้องเดินไปอีกสักพัก ผมนัดใครไว้หน่ะเหรอ>>>>

            งานพิเศษของผม คือรับเป็นไกด์ให้ชาวจีนที่อยากจะมาเที่ยวที่นี่ ตามที่ป้าซาแมนธาและลุงฟิลิปจะแนะนำมา ผมเช่าบ้านพวกเขาอยู่ สามีภรรยาคู่นี้เป็นชาวฝรั่งเศสที่ติดต่อกับคนจีนมานาน พวกเขาจึงมีธุรกิจนำเที่ยวส่วนตัวนี้ด้วย นอกจากเปิดบ้านให้นักเรียนจีนเช่าอยู่...

            วันนี้ผมจึงต้องมารับงานนี้ครับ ป้าซาแมนธาบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจหน้าใหม่ที่รวยมากของจีน นำเข้าสินค้าจากหลายประเทศในแถบยุโรป คราวนี้เขาต้องมาเลือกซื้อสินค้าและอยากจะท่องเที่ยวส่วนตัวด้วย จึงติดต่อมา

            ผมเดินมาถึงโรงแรมและเดินไปยังห้องสวีทใหญ่ที่สุดของโรงแรมตามที่ได้หมายเลขห้องมาจากป้าอีกที
โอ้โฮ!!! ถ้าจะพักห้องขนาดนี้ได้และอยู่ใกล้ขนาดนี้ นี่เขาขายอะไรนะ เขาเป็นใครกันแน่ 
           
             เมื่อมาหยุดยืนหน้าห้อง ผมจึงกดออดเพื่อเรียกคนด้านใน จากนั้นจึงมีคนมาเปิดประตู 
"สวัสดีครับ ผมหลี่อี้เฟิง คุณป้าซาแมนธาบอกให้ผมมา" 

             พอผมพูดจบ เขาก็เปิดประตูกว้างเพื่อให้ผมเข้าไปในห้อง คนๆนี้ดูเหมือนจะเป็นผู้ติดตามหรืออะไรไม่ทราบ บอดี้การ์ดเหรอ หน้าก็ไม่เห็นจะโหดร้ายหรือดุสักนิด เขาเรียกผมให้ไปนั่งที่โซฟาใหญ่พร้อมบอกว่า

            "รอตรงนี้สักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะไปตามคุณถิงมาให้ ผมต้าหลุนครับ เป็นเลขาของคุณถิง เราคงต้องเจอกันอีกหลายวันนะครับ" 

            ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรออกไป คนชื่อต้าหลุนที่รูปร่างท้วมนิดๆ ก็เข้าไปในห้องด้านใน เปิดประตูไว้แล้วหายไปอีกห้องหนึ่ง 

              หลังจากนั้นก็มีเงาของร่างใหญ่ร่างหนึ่งเดินออกมา คนๆนี้แต่งตัวสบายๆ ใส่แค่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา มีเสื้อคลุมเท่ห์ๆ กางเกงขาสั้น ดูกวนๆแต่ก็น่ารักมากสำหรับสายตาผม 

              เขาทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างสบาย พร้อมด้วยใบหน้าสวย ตาคม และยิ้มอันสดใส เขาทักทายก่อนว่า
            "บงชูร์ ใช่มะ ที่นี่ฝรั่งเศส 555 ผมพูดถูกมะคุณ เอ่อ คุณ แนะนำตัวเองสิ"
             
             "เอ่อๆ ผม...ผม ผมชื่อหลี่อี้เฟิงครับ"
  
             "ตกลงผมออกเสียงถูกมั้ย คุณหลี่อี้เฟิง อ้อ ขอแนะนำตัวเองก่อนนะ ผมเฉินเหว่ยถิงครับ บงชูร์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย 5555" สิ้นเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมานั่น เขาจำได้ทันที ภาพเก่าเมื่อ 10 ปีก่อน สมัยเรียนมัธยมผุดขึ้นตรงหน้า


              "วันนี้ฉันชวนพี่ถิงมาร่วมงานเลี้ยงฉลองการแสดงของพวกเรานะ เอ้า!!!เฮียพูดไรหน่อยสิ"
              ผมจำได้ดี ที่หม่าเทียนเพื่อนสนิทของผม มันชวนพวกเราชมรมการแสดงมาฉลองใหญ่กัน แต่พี่ถิงเป็นคนดังของโรงเรียนเรา และเป็นพี่ที่สนิทกับหม่าเทียนมาก เพราะบ้านสองคนนี้ติดกัน ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่เค้ามากหรอก แต่ใครๆในโรงเรียนทุกคนก็สนใจเขา รวมทั้งผมด้วย

               "หม่าเทียน นายเริ่มจะเมาแล้วนะ นี่พวกนายยังเด็กๆกันทั้งนั้น กินเหล้ากันแบบนี้แล้วจะกลับหอกันยังไง"
               "ไม่พี่ พวกผมสบายมาก มาๆๆ เรามาเล่นเกมส์กันต่อ เฮียก็มาเล่นด้วยกันสิ นี่กำลังสนุกเลยนะ"
                "เกมส์อะไรของนายฮึ" 
                "เกมส์นี้ชื่อว่า "Truth or Dare" ครับเฮีย มาๆ ผมสอนให้ นี่พวกเรามีไพ่กันอยู่ในกองนี้นะ หยิบกันไปคนละใบ ใครจับได้ดอกเดียวกัน ต้องโดนจับคู่ทำ Truth or dare ครับพี่" 
                 

                  วันนั้นพวกเราเล่นเกมส์นี้กันไปก่อนที่พี่ถิงจะมาหลายรอบมากๆ ทุกคนต้องเลือกว่าจะทำอะไร 
 "Truth หมายถึงพูดความจริง Dare หมายถึงกล้าทำบางอย่าง" ทุกคนสนุกมากที่ได้พูดและทำในสิ่งที่เพื่อนคนอื่นๆสั่ง ส่วนใหญ่ก็หม่าเทียนนี่ล่ะ ที่กำลังได้ที่กว่าเพื่อน แต่ก็พาให้ทั้งวงสนุกกันมาก

                  เกมส์วันนั้นผมจำได้ไม่ลืม ผมและพี่ถิง จับได้ไพ่หัวใจเหมือนกัน เป็นเราสองคนที่ต้องเล่นคู่กัน

                  พี่ถิงถามผม "เอ้า นายแมวน้อยนี่ นายจะเลือกอะไรล่ะ ฉันแล้วแต่นายเลย"
                   "ผม ชื่ออี้เฟิงครับพี่ ผม เอ่อ ผม...เอ่อ เลือก Dare ได้มั้ยครับ" ทำไมวันนั้นผมถึงเลือก Dare เหรอ??? ไม่รู้สิ หัวผมมันตื้อไปหมด เมื่อคนตรงหน้าหันมาถามใกล้ๆ

                   "เอ้า!!! Dare ก็ Dare" พี่ถิงเห็นด้วย 
                   คนอื่นๆในวงนี่จิบเหล้ากันไปหนักพอควร มีผมที่ไม่ค่อยกินเท่าไหร่ เพราะผมแพ้หน่ะครับ กินปุ๊บ ตัวจะร้อนและผื่นขึ้นเลย ส่วนพี่ถิงก็เพิ่งมา คงมีแต่เราสองคนมั้งที่ยังมีสติครบถ้วน

                   "ทำไรดีน้าาาาา ขอคิดก่อนนะ" วันนั้น หม่าเทียนผู้คุมเกมส์นี้เกือบหมดยิ้มเจ้าเล่ห์มาก
                   "เอาล่ะ ในเมื่อพวกเฮียเลือก Dare จริงๆ ผมว่านะ ผมจะให้ เฮียจูบเฟิงเฟิง!!!"
                   "ฮะ!!! อะไรนะ" ผมตะโกนเสียงลั่น หม่าเทียนแกจะฆ่าชั้นรึไง

                   "ทำเลย จูบเลย ทำเลย จูบเลย!!!!" เพื่อนทุกคนยังร้องเชียร์ไม่หยุด ผมเลยหันไปมองหน้าสวยๆนั่นแล้วบอกไปว่า

                  "เอ่อ พี่ครับ ไม่จำเป็นต้อง....." ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค คนตัวใหญ่ที่นั่งด้านข้าง เอี้ยวตัวเอาหน้ามาบังหน้าผมจากหน้าทุกคน แต่ว่ามีแต่ผมเท่านั้นที่สัมผัสได้ ว่าปากนั้นมาแตะปากผม พร้อมการคลอเคลียอย่างนุ่มนวลและช่ำชอง ไม่นานนักเขาก็หันหน้าออก
                 "อ่ะ จูบแระนะ" พี่ถิงบอกทุกคน
                 "เฮ้ย!!!ไรอ่ะเฮียยังไม่มีใครเห็นเลย เอาใหม่ดิ" หม่าเทียนยังคงส่งเสียงเหมือนคนหงุดหงิด......
             
                "เอ้า คุณ คุณอี้เฟิง ตกลงผมพูดชัดมั้ย บงชูร์เนี่ยะอ่ะ ไม่เห็นตอบเลย" 
                 ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ภาพเหตุการณ์ตอนนั้นกลับมาชัดเจนมาก เขาคือจูบแรกของผม คนตรงหน้านี่ล่ะ
                
                "ผมอยากให้คุณพาผมเที่ยวชมกรุงปารีสให้ทั่ว ผมมีเวลาอยู่ที่นี่อีกอาทิตย์ เห็นพวกเค้าบอกว่าคุณจะว่างมาเป็นไกด์ส่วนตัวให้ผม ผมบอกก่อนนะ ผมเอาแต่ใจ แต่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำให้คุณเสียเวลาเปล่าแน่ๆ เงินหน่ะไม่ใช่ปัญหาของผม เข้าจั้ย!!! ว่าแต่ทำไม ผมคุ้นๆหน้าคุณจัง เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ย 555 ทำไมผมทำเหมือนจะจีบคุณเลย มุกนี่มันเก่าชะมัด 555"

                 เสียงหัวเราะกังวาลใสนี้ ทำให้ใจผมเต้นแรงอีกแล้ว หลังจากที่ไม่ได้เป็นแบบนี้มาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่คืนที่เล่นเกมส์ Truth or Dare นั่น...
                   

       
                                                      โปรดติดตามตอนต่อไป.....


วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

ดินแดนเหนือฟ้า ใต้หล้านี้เพื่อเธอ ตอนที่ 10 บทส่งท้าย

                                                ดินแดนเหนือฟ้า ใต้หล้านี้เพื่อเธอ
                                                     ...The land before time...
                                   "ทั้งมนุษย์และโลก เมื่อใดสงบ เมื่อนั้นย่อมเป็นสุข"


บทที่ 10 ดินแดนยื่ออ้ายเยว่
                 
                 ณ คุกใต้ดินของวังดินแดนเหอ

                 เฟิงเยว่หลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีเขาก็มีโซ่มัดไว้และมีพลังบางอย่างที่กั้นไม่ให้เขาสามารถรวบรวมพลังใดๆได้ เอ๊ะ!!!นี่มันอะไรกัน เขาต้องอยู่บนเรือกับถิงถิงสิ ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้นะ แต่แล้วก็มีเสียงหญิงสาวหัวเราะตามมา เขาคุ้นเสียงนี้มาก

"ฮ่าๆๆ พวกเจ้าทำดีมาก ข้าแทบอยากจะเอามีดเหอปิงมาแทงให้มันตายไปต่อหน้า ถ้าหากท่านพ่อไม่ห้ามไว้ซะก่อน เปิดประตูสิ" องค์หญิงสุ่ยเก๋อ ร้องสั่ง โดยมีเงาดำเดินตามมาข้างหลัง
"ท่านอาจารย์ ท่านจะให้ข้าทำยังไงกับมันล่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามเงาดำด้านหลัง
"ท่านมิต้องทำอะไรหรอกองค์หญิง ข้าได้กรอกน้ำองุ่นแดงลงไปแล้ว คาดว่าไม่ช้ามันจะต้องตาย แต่ก่อนหน้านั้นองค์ชายถิงยื่อจะต้องมา ท่านและข้าจะได้สิ่งที่ปรารถนา" เงาดำด้านหลัง เปิดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงในอีกร่างหนึ่ง

เฟิงเยว่จำมันได้ดี เจ้าคนตัวร้ายนั่น 
"เหย้าเหอ เจ้า เจ้าจะทำอะไรข้า เจ้าต้องการอะไร" 

"องค์ชาย คราวก่อนที่พบกัน ท่านไม่ยอมดื่มมันดีๆ คราวนี้ข้าเลยต้องบังคับให้ดื่มมันอีก ฮ่าๆๆ" อาจารย์เฮยไห่และเหย้าเหอ ก็คือร่างแปลงนั่นเอง คนผู้นี้แฝงกายสืบข่าวไปทั่ว จริงๆแล้วเขาได้เรียนรู้จากแม่เฒ่าตงสุ่ยมาไม่น้อย หากแต่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากจะครอบครองดินแดนทั้งหมด แม้แต่หญิงสาวตรงหน้า

"ท่านอาจารย์ ท่านแน่ใจว่าถิงยื่อจะหามันเจอรึ แล้วข้าจะจับเค้าได้อย่างไร" องค์หญิงเอ่ยถามเพราะอยากได้ตัวถิงยื่อมากกว่า

"ท่านไม่ต้องห่วงหรอก สองคนนี้มีดวงใจผูกพันธ์กัน เค้าจะต้องมาตามหาเจอแน่ๆ เมื่อนั้นตาข่ายเพลิงนี่จะช่วยเป็นที่กักขังอย่างดี เมื่อนั้นท่านก็จะสมหวัง" ฮึ คิดรึว่าเขาจะปล่อยให้องค์หญิงได้ตัวถิงยื่อ เมื่อเขาฆ่าถิงยื่อและเอาหัวใจนั่นมา คราวนี้เขาก็จะได้ครองทุกอย่าง

               เมื่อถิงยื่อเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาก็พบว่าบนเรือว่างเปล่าไม่มีใคร เฟิงเฟิงของเค้าหายไป หายไปได้ยังไง แย่ล่ะ!!!เคลื่อนไหวไปมาดั่งเงาเช่นนี้จะต้องเป็นนักฆ่าฟางไห่อย่างแน่นอน เขาควรทำไงดี

               ถิงยื่อไม่รอช้า ดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เขาเรียกเจ้าเอ้อมาเพื่อพาเขาไปยังวังดินแดนเหอ เขารู้ว่าเขาต้องมาจัดการที่ต้นตอ ดังนั้นเขาจึงลอบเข้ามาที่วังได้ไม่ยาก หากแต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเฟิงเฟิงอยู่ที่ไหน เขาสัมผัสพลังพระจันทร์ของอีกฝ่ายได้อย่างเบาบางมาก รอจนค่ำเขาจึงต้องไปหาคนที่เขาคิดว่าจะรู้แน่ๆว่าเฟิงเฟิงอยู่ไหน
นั่นคือองค์ราชา

                องค์ราชาดินแดนเหอกำลังหลับไหล ไม่ช้าก็รู้สึกเหมือนมีใครเอามีดมาจ่อที่คอ 
"เฮ้ยๆๆ องค์ชายถิงยื่อ ท่าน ท่านใจเย็นๆก่อน" 
"ท่านรู้ดีว่าท่านทำอะไรไว้ หากท่านไม่บอกข้าว่าเฟิงเฟิงของข้าอยู่ไหน มีดนี่ถึงแม้จะไม่ใช่มีเหอปิง แต่นั่นก็ทำให้ท่านหมดลมหายใจได้เหมือนกันนะ" ถิงยื่อกล่าวเป็นเชิงขู่
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ" องค์ราชายังคงปฏิเสธ
"ก็ได้ จะได้รู้กันว่ามีดของข้านั้นคมแค่ไหน" 

ยังไม่ทันที่ถิงยื่อจะลงมือ ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา
"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านต้องเห็นหน้าเฟิงเยว่ ฮ่าๆๆ แดงกล่ำมาก เอ้ย!!!นั่นใครหน่ะ" 

ยังไม่มีใครพูดอะไร ถิงยื่อก็เอามีดจ่อคอองค์ราชาพร้อมร้องบอกองค์หญิง

"เป็นเจ้าจริงๆ ข้าสังเกตตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่พบเจ้าหน้าห้องหลิงมู่ จนมาถึงวังเยว่และที่หมู่บ้าน ที่มือเจ้ามีปานแดงอยู่ข้าเห็นและเพิ่งนึกออก" ถิงถิงรู้แล้วว่าที่แท้คนที่ตามฆ่าเขาคือใคร

"ถิงถิงเจ้าฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้จะเอาชีวิตเจ้า เอาอย่างงี้นะ ข้าจะพาเจ้าไปหาเฟิงเยว่ เอามั้ย เจ้าปล่อยท่านพ่อก่อนสิ ค่อยมาคุยกัน" องค์หญิงสุ่ยเก๋อ คิดว่าต้องพาเขาไปที่คุกตามแผนก่อน

แต่ไม่ว่ายังไง ถิงถิงก็ไม่ยอมปล่อยองค์ราชาหรอก เขาต้องเจอเฟิงเฟิงก่อนให้ได้ เมื่อเดินลงมาในคุกด้านล่างวัง เขาเห็นสภาพเฟิงเยว่ที่ดูบ้าคลั่ง ตาแดงคล้ำและพยายามจะหลุดจากโซ่ออกมา หากแต่ไม่สามารถทำได้ เขาแทบจะอยากเข้าไปช่วย หากแต่ต้องมีสติก่อน

"พวกเจ้าทำอะไรเฟิงเฟิง ทำไมเขาเป็นแบบนี้" ถิงยื่อถามก่อน
"พวกเราก็แค่ให้เค้าดื่มน้ำเหมือนที่ท่านเคยดื่ม ท่านชอบไม่ใช่เหรอ ข้าจำได้" คนคลุมผ้าสีดำเอ่ย

"ท่านจะฆ่าข้าก็เข้ามา หากไม่เช่นนั้นข้านี่แหละจะเป็นคนทำลายแผ่นดินนี้เอง"
ถิงถิงพูดพร้อมกำมือแน่น และทำให้ภายในของเขาพลุ่งพล่าน ยามนี้พลังแสงอาทิตย์เข้าครอบงำอีกแล้ว เขาไม่พอใจ เขาโมโห เขาจะทำลายทุกอย่างที่นี่...

                  ดังนั้นเขาจึงระเบิดพลังออกมาทั้งหมด และทำให้องค์ราชากระเด็นออกไปไกลและชนเข้ากับเสาต้นใหญ่ ส่วนองค์หญิงสุ่ยเก๋อก็ลอยไปอีกทาง คงมีแต่เงาชุดดำนั้นที่เงื้อมมือกำลังจะเอามีดเหอปิงมาแทงเขา ถิงยื่อเห็นทุกอย่างเป็นภาพชัดเจน เขาจับมือที่อยู่ภายใต้ชุดดำนั้นจนไหม้เป็นควันขึ้นมา

"อร๊ากกกกก...ปล่อยข้า ถึงยังไงองค์ชายเฟิงเยว่ก็ต้องตาย ถ้าท่านไม่อยากให้เขาตายก็ต้องปล่อยข้า" คนชุดดำต่อรอง
                หากแต่ตอนนี้เขาคุมสติไม่อยู่แล้ว เขาจึงซัดฝ่ามือที่มีแต่เปลวเพลิงใส่คนตรงหน้าจนหงายท้องกระเด็นไปและมีควันลอยออกมาจากร่างนั้น ตอนนี้เขาคุมสติไม่ได้ เขาต้องช่วยเฟิงเฟิงให้ได้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกว่าต้องทำ 

               ในเวลานั้นเฟิงเยว่ก็ดิ้นรนด้วยตาแดงกล่ำ ถิงยื่อที่กำลังปล่อยพลังทำลายทุกอย่าง หากแต่เงาดำยังคงเคลื่อนตัวได้ ยกมีดขึ้นมาแล้วปาไปหวังว่าจะให้ถูกตัวถิงยื่อ 
               แต่แล้วฉับพลันก็มีควันพร้อมร่างสีขาวลอยผ่านเข้ามาและจับมีดเหอปิงไว้ก่อนจะมาถึงตัวถิงยื่อพอดี เขาเอามือแตะร่างถิงยื่อ เพื่อให้เขาสงบและเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเพื่อนำบางอย่างเข้าปากเฟิงเยว่ไปทันที เมื่อนั้น พลังเย็นในร่างเฟิงเยว่จึงกลับมาแก่กล้าขึ้นอีกครั้ง 

                      ทั้งสองร่างเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน "อาจารย์ไป๋!!!" แล้วก็สลบไปทั้งคู่

                      ในระหว่างที่องค์ชายทั้งสองไม่รู้สึกตัวใดๆ อาจารย์ไป๋ได้นำกองทหารจากดินแดนยื่อ พร้อมด้วยเทียนอวิ๋น เซียงยื่อเพื่อเก็บกวาดทุกอย่างในดินแดนนี้ให้เรียบร้อย ทุกคนถูกจับไปขังรวมไว้ในคุกหลวงของดินแดนยื่อ รอการลงโทษจากราชาองค์ใหม่

                        ณ ห้องพักถิงยื่อในวังดินแดนยื่อ
                         พอเขาลืมตาตื่นขึ้นมา ใบหน้าแรกที่เห็นช่างสวยงาม นั่นคือท่านแม่นี่เอง
                        "ถิงถิง เจ้าฟื้นแล้ว มา ลุกมาทานยาหน่อยนะ เจ้าสลบไปตั้ง2วันแล้ว"
  "ท่านแม่ นี่มันอะไรกัน" เขาฟื้นขึ้นมาแล้วกำลังปะติดปะต่อเรื่องราว พอเขาดื่มยาเข้าไปก็นึกถึงเรื่องสำคัญได้
"ท่านแม่ เฟิงเฟิงล่ะ เฟิงเฟิงของข้า เขาอยู่ไหน เขาเป็นอะไรรึเปล่า" เขาจำได้แล้วว่าพลังเขาพลุ่งพล่านหยุดไม่ได้ อาจารย์ไป๋มาช่วยเขาไว้ แต่ว่าเฟิงเฟิงล่ะ เขายังไม่เห็นเลย
"ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ๊ะ เฟิงเฟิงของเจ้าเค้าปลอดภัยแล้ว อาจารย์ไป๋ดูให้ ไม่มีปัญหาอะไร แล้วตอนนี้เขากลับไปจัดการเรื่องที่ดินแดนเยว่ จนกว่าจะถึงวันสถาปนาของเจ้า เขาก็จะมาร่วมงานไงจ๊ะ" 

"อะไรนะท่านแม่ เขาไปดินแดนเยว่ แล้วจะมาร่วมงานอะไรกัน โอ้ยๆๆ ข้าร้อนที่หัวจัง" 

"นี่ไงล่ะ เจ้ายังไม่หาย แล้วยังจะโวยวายอีก เจ้ารู้มั้ย พลังที่เจ้าปล่อยออกมาครั้งนี้มันรุนแรงมากจนแทบจะไหม้ตัวเองได้เลยนะ คราวหลังเจ้าต้องหัดควบคุมพลังและเรียนรู้จากอาจารย์ไป๋ให้มาก อีกแค่เดือนเดียวเจ้าก็จะต้องขึ้นปกครองแล้ว ท่านพ่อรอเจ้าหาย แล้วจะมอบทุกอย่างให้" 

หลังจากนั้นถิงยื่อก็ต้องนอนรักษาตัวเองอีกหลายวัน เขาต้องจัดการทุกอย่าง เขาจะทำให้เร็วที่สุด แต่ทำไม ดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายที่เขาต้องจัดการแล้วดูเหมือนจะไม่เสร็จสักที 

แต่ไม่ไหวแล้วนะ ทำไมเฟิงเฟิง ไม่แม้กระทั่งถอดจิตมาหาเขา หรือติดต่อเขามายังไงก็ได้ นี่เล่นหายตัวไปเลยแบบนี้ ไม่ได้แล้ว คืนนี้เขาจะต้องไปหาเฟิงเฟิงที่ดินแดนเยว่ให้ได้

                       ณ ห้องจันทรา วังดินแดนเยว่
                   ถิงยื่อยังจำกลิ่นอายของความมีเสน่ห์ของห้องนี้ได้เป็นอย่างดี เขาชอบอยู่ที่นี่มาก ให้ตายเหอะ อยากจะยกไปตั้งไว้ที่วังจริงๆ แต่วันนี้เขาเข้ามาแล้ว ยังไม่มีแสงใดๆ ทุกอย่างยังมืดสนิท  เอ๊ะ!!!เฟิงเฟิงเขาหายไปไหนกันแน่นะ 

เขามองเห็นทุกอย่างในที่มืดได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงสบายมาก เขาเดินสำรวจรอบห้องอีกครั้ง ยังไม่ทันได้สำรวจอะไรมาก ก็มีเสียงฝีเท้าเดินมา เขาจำได้ เฟิงเฟิงของเขา เขาจึงเงี่ยหูฟังว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
"เจ้า ไปเก็บของห้องท่านพ่อท่านแม่ให้เรียบร้อย แล้วก็ วันนี้ไม่ต้องยุ่งกับข้าแล้ว ข้าเหนื่อยมาก จะพักผ่อน 

อ้อ!!!อีกอย่าง ชุดใหม่ของข้าที่เตรียมสำหรับงานพิธีล่ะ เรียบร้อยมั้ย อีกแค่อาทิตย์เดียวนะ ข้าก็จะไม่อยู่ พวกเจ้าต้องช่วยกันดูแลด้วยล่ะ ก่อนที่ข้าจะกลับมา" 

อะไรกัน!!! ชุดใหม่ ใส่ไปงานพิธี เสร็จแล้วจะกลับมา เชอะ!!! ใครให้กลับมา ไม่มีทาง เจ้าต้องอยู่กับข้า 
ที่พูดนี่ไม่เข้าใจกันเลยใช่มั้ยเจ้าแมวน้อย

เสร็จแล้วเจ้าของห้องผลักประตูเข้ามา เขารู้สึกได้ถึงพลังงานอีกฝ่าย จึงพูดขึ้น 
"ถิงถิง นั่นเจ้าใช่มั้ย ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ทำไมถึงชอบเข้ามาห้องคนอื่นโดยไม่บอกกล่าว"

คนร่างยักษ์ เดินเข้าไปประจันหน้า
"ทำไม เดี๋ยวนี้ข้าจะมาต้องบอกก่อน จะเข้ามาหาเจ้าต้องเคาะประตูงั้นสิ ไม่มีวันหรอก เจ้าก็รู้ข้าคือใคร!!!"

"ถิงถิง เจ้ากลับไปก่อนได้มั้ย ข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักหน่ะ นะๆๆ อีกอาทิตย์เดียวจะถึงงานแล้ว ยังมีอะไรที่ข้าต้องทำอีกเยอะเลย" ว่าแล้วเจ้าแมวน้อยก็เอามือดันคนตัวยักษ์ตรงหน้าให้ถอยหลังไปแต่ก็ทำได้แค่ให้เขาถอยไป 2-3 ก้าวเท่านั้น

"ไม่ ข้าไม่กลับ จนกว่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง เจ้าทำไมไม่ไปหาข้า ทำไมไม่ส่งข่าว เจ้ารู้มั้ยข้าตื่นมาก็คิดถึงแต่เจ้า ตกลงดินแดนของเรา เจ้าก็จะไม่ไปอยู่ เจ้าจะทำให้ข้าคลั่งอีกรอบใช่มั้ย"

เขากอดแมวน้อยตรงหน้าด้วยความคิดถึงจับใจ นี่เกือบเดือนเลยนะ ที่เขาไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้กอดคนตรงหน้านี้เลย 

"อื้อๆๆๆ ถิงถิง เจ้าปล่อยข้าก่อน เจ้ารัดแน่นจนข้าจะหายใจไม่ออกแล้ว" แมวน้อยดิ้นคลุกคลักจะสลัดให้หลุดออกมา จนกระทั่งหลุดออกมาได้

"ถิงถิง เจ้ากลับไปก่อนได้มั้ย ข้ายังไม่อยากเจอเจ้าตอนนี้ ข้าอยากพักผ่อน ข้าต้องจัดการทุกเรื่องก่อน เจ้าเข้าจะ...อื้อออออ" ถิงยื่อไม่ฟังอะไรแล้ว เขาไม่เข้าใจทำไมถึงไล่เขาไปตลอดเวลา เขาจึงบดขยี้ปากเขาเข้ากับเรียวปากเล็กๆนั่นที่เขาคิดถึงยิ่งกว่าอะไร 

แล้วไม่พูดเปล่า เขายกตัวคนตรงหน้าลอยขึ้นแล้ววางให้นั่งบนโต๊ะ พร้อมกับพูดว่า 

"ไล่ข้าใช่มั้ย ข้าไม่ไปไหน ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะไล่ข้าไปได้สักแค่ไหนกัน" 

แต่แล้วเขาต้องประหลาดใจ สายตาสีฟ้านั่น ส่งประกายแว๊บวับจับตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาถอดเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวสวย ที่มีเนินอวบได้รูป พร้อมกับก้มลงกระซิบที่ข้างหูเขา 

"เจ้าไม่ยอมไปดีๆเองนะ!!! ถิงถิง เจ้ารู้มั้ย อาจารย์ไป๋ให้ข้ากินอะไรถึงได้หาย" คราวนี้เขานึกออก ไข่มุกเลี่ยงซิน!!!
"คอยดูนะ เจ้าจะลืมหายใจเลยทีเดียว" 

ขาดคำนั้นเขาดึงร่างยักษ์เข้ามาหา พร้อมขบติ่งหูและเอามือลูบไล้ไปทั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วจึงเอามือถอดชุดของอีกฝ่ายเหมือนกระหายอยากในร่างกายแข็งแรงตรงหน้า 

จูบที่เร้าร้อนและรุนแรงแบบที่ถิงถิงชอบมาอีกแล้ว เขาจึงดันตัวเข้าติดโต๊ะ ถอดกางเกงของตัวเองและอีกฝ่ายออกอย่างไม่รอช้า เมื่อร่างกายด้านล่างสัมผัสกัน ความแรงเขย่าจนขาโต๊ะสั่นสะเทือนพื้นไปหมด เมื่อหมดไปหนึ่งรอบ คราวนี้แมวน้อยกระโดดแทบจะโถมเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง จนเขาถอยหลังไป

อนิจจาแมวน้อยแสนร้อนแรงของเขา  ไล่จูบเขาจนไปชนเตียงเขาจึงนั่งลง 

โอ้ย!!!ตอนนี้เขาไม่ไหวแล้ว พลังงานในร่างแทบจะระเบิดออกมา 

แมวน้อยไม่พูดอะไร ยังคงส่งสายตาสีฟ้าระยับในความมืด

คราวนี้ปากน้อยๆนั่นถอยล่นลงมาที่ด้านล่าง พร้อมดูดกลืนส่วนล่างของเขาเข้าออก เป็นจังหวะอย่างไม่ยอมจบสิ้น สร้างความเสียววาบไปทั่วร่างของถิงยื่อ เขาจึงเอามือขยี้ที่หัวของเฟิงเฟิงของเขา
"โอ่สสสส อ่าสสสสสสส เฟิงเฟิง เจ้า...เจ้า เฟิงเฟิงของข้าาาาาส"

ตอนนี้เฟิงเฟิงได้ให้ความสุขกับเขาอีกจนเขารู้สึกได้ว่ามันทั้งร้อนและเย็นสลับกันไปหมด จนทั้งคู่หมดแรงและหลับไป...

"เฟิงเฟิง ใกล้เช้าแล้ว เดี๋ยวข้าต้องกลับวังแล้ว" ถิงยื่อไม่อยากจะปลุกแมวน้อยของเขาหรอกนะ 
เขารู้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยขนาดไหน จึงหอมแก้มด้วยความรัก คนตรงหน้าจึงลืมตาขึ้น

"หืม ถิงถิง เจ้า...ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าให้เจ้ากลับไป" เขาอายเอาหน้ามุดผ้าห่ม

แมวน้อยเขาเขิน น่ารักเสียนี่กระไร "ข้าทำเจ้าเหนื่อยล่ะสิ ฮึๆ นี่ข้าต้องขอบคุณใครดีน้า ที่ทำให้เฟิงเฟิงแสนเร้าร้อนของข้ากลับมาอีกแล้ว ข้าชอบคนนี้ เข้าใจมั้ย แมวน้อยของข้า" 

ที่เขายังไม่อยากเจอเจ้าลิงยักษ์ตรงหน้าก็เพราะแบบนี้ ตอนนี้ร่างกายเขามีพลังไข่มุกมาใหม่อีกแล้ว 
เขาก็จะกระหายอยากไม่จบไม่สิ้น เมื่อรวมกับพลังจันทราในร่างเขามันยิ่งไปกันใหญ่ 
แถมมีเป็นสองเท่าอีกต่างหาก ฉะนั้นรอให้ถึงเวลาจะดีกว่า เพราะเขาจะเหนื่อยมากจริงๆหน่ะสิ!!!

"ถิงถิง ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ ว่าข้าจะตามเจ้าไปครองดินแดนใหม่ อยู่ร่วมกับเจ้าตลอดไป เจ้าหน่ะ ชอบโวยวายเข้าใจผิดไปก่อนอยู่เรื่อย นี่ถ้าเจ้าไม่มาหาข้าก่อน วันสำคัญนั้น ข้าจะมีชุดใหม่ใส่ไปอวดเจ้าด้วยน้า ข้าเตรียมไว้แล้ว" เขาบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจด้วยน้ำเสียงมีความสุข

"ข้าไม่เห็นจะสน สวยแค่ไหน สุดท้ายข้าก็เอาออกจนไปกองกับพื้นอยู่ดี จริงมั้ยล่ะ ฮ่าๆๆ แต่บอกก่อนนะ 
วันสถาปนาดินแดนใหม่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าควบคุมข้าแบบนี้แน่ๆ จำไว้ ข้าไปล่ะ" เขาหันไปจูบคนด้านข้างที่นอนยิ้มอยู่แล้วก็กลับไปที่วัง

อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา...

ดินแดนยื่อและดินแดนเยว่ประกาศรวมกันเป็นดินแดนยื่ออ้ายเยว่ ดินแดนเหอและดินแดนมู่ ถูกควบคุมด้วยเหล่าคนที่ส่งไปจากดินแดนใหม่นี้  นักโทษถูกขังและลงโทษไปตามที่ราชาใหม่เห็นสมควร 

ภายในงานสถาปนาเต็มไปด้วยผู้คนที่มาแสดงความยินดี องค์ชายเทียนอวิ๋นก็ได้อภิเษกกับองค์หญิงเซียงยื่อและทั้งคู่จะกลับไปปกครองดินแดนอวิ๋นต่อไป ส่วนตัวแทนดินแดนอื่นๆ ต่างก็มากันหมด รวมทั้งคนในหมู่บ้านชาวประมงก็ได้รับการช่วยเหลือรอดมาได้บางส่วน รวมทั้งแม่เฒ่าตงสุ่ยด้วย...

เด็กหญิงน้อยวิ่งมาหาแม่เฒ่า 
"แม่เฒ่าๆ แล้วพี่เฟิงเอ๋อ แสนสวยของข้าไปไหนแล้ว นี่มันงานของเค้าสองคนนะ พี่ถิงยื่อก็หายไปด้วย"
แม่เฒ่ามองหน้าเด็กน้อยไร้เดียงสาตรงหน้าแล้วกล่าวว่า

"ฮวาเมาเอ้ย ต่อไปเจ้าจะเรียกแบบนี้ไม่ได้นะ เค้าไม่ใช่พี่สาวพี่ชายธรรมดา เป็นถึงองค์ราชาของดินแดนใหม่ด้วยกันทั้งคู่ แล้วเจ้าก็นะ หยุดบอกว่าองค์ราชาเฟิงเยว่เป็นพี่สาวเจ้าซะที"

"ก็ข้าชอบนี่นา พี่เฟิงเยว่ เอ้ย องค์ราชาใส่ชุดแดงวันนี้นะ ส้วยสวย ปกติเห็นตาคมๆใส่แต่สีมืดๆ ก็สวยแบบร้ายลึก ตอนนี้สิ โอ้โฮแม่เฒ่า สวยจนข้าอายเลยล่ะ" เด็กน้อยพูดจ้อยๆ จนพี่ชายต้องเดินมาห้ามปราม
"ฮวาเอ๋อ เจ้านี่ชักจะแก่แดดขึ้นทุกวันนะ" แล้วทั้งหมดก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข โดยหารู้ไม่ว่าองค์ราชาทั้งสองของพวกเค้านั้น หนีมามีความสุขเช่นเดียวกัน

ภายในห้องจันทราใหม่ที่ถิงถิงยังคงใช้ชื่อนี้ เพราะเขาชอบห้องนี้จริงๆ สิ่งของทั้งห้องถูกประดับด้วยรูปพระจันทร์เสี้ยวที่ทับอยู่บนพระอาทิตย์ 
แค่สัญลักษณ์ดินแดนใหม่ก็ทะเลาะกันจะแย่ รูปแบบนี้ก็เหมือนเฟิงเฟิงอยู่เหนือเขาตลอดเวลาหน่ะสิ ไม่ได้นะ ดินแดนใหม่นี้เขาต้องให้มันเท่ากันสิ เขาจะยอมก็เฉพาะเวลาแบบนี้เท่านั้นที่เฟิงเฟิงจะอยู่เหนือเขาได้ 

"ถิงถิง ข้า...ข้าอยากอยู่กับเจ้าตลอดไปนะ" ตอนนี้เฟิงเยว่เปลือยไหล่นิดนึงในชุดแดงสะพรั่งคล้ายกิมโมโนของญี่ปุ่นมากกว่า เผยให้เห็นส่วนขาวนิดนึงเป็นแนวยั่ว พร้อมเดินไล่ต้อนอีกฝ่ายจนไปติดผนังห้อง คราวนี้เขาเปิดต้นขาขาวพร้อมยกขาเพื่อจะยั่วอีกฝ่ายหนักขึ้น...

"เฟิงเฟิง ข้าบอกแล้ว วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าแกล้งข้าคนเดียวหรอกนะ ฮ่าๆๆ ข้าชอบเจ้าแมวยั่วคนนี้จริงๆ" 

ว่าแล้วเขาก็อุ้มเฟิงเฟิงของเขาจนตัวลอย แล้วจูบเข้าที่หน้าผาก อีกฝ่ายก็โน้มคอเขาลงมาแล้วจูบตอบที่ปาก 
เขาเดินตรงไปที่เตียง พร้อมวางอีกฝ่ายลงอย่างทะนุถนอม 

เขานอนลงเพื่อคร่อมไปที่ตัวของอีกฝ่ายแล้วกระซิบ
"วันนี้เจ้างามมาก แต่ข้าบอกแล้ว ชุดแดงนี่ข้าขอนะ" พอเขากำลังจะก้มลงจูบ แมวน้อยตวัดตัวเองหลบ แล้วเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมก่อน ตอนนี้เสื้อผ้าด้านบนถูกปล่อยลงมาจนเกือบครึ่งหน้าอกขาว

"ถิงถิง ข้ามีพลังไข่มุกนะ อย่าลืมสิ" เสร็จแล้วแมวน้อยก็ถอดเสื้อคลุมสีฟ้าสวยงามของอีกฝ่ายออก เอามือสอดประสานกัน พร้อมจูบที่ปากเบาๆ คนตัวใหญ่จึงบอกว่า

 "เฟิงเฟิง  ข้าขอบอกเจ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในดินแดนเหนือฟ้านี้ ทั่วทั้งใต้หล้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า"
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล สำหรับจังหวะตอบรับรักของทั้งคู่...

ท่ามกลางความสุขในดินแดนใหม่ "ยื่ออ้ายเยว่" หากมีสองมือที่กุมเกาะ สองเท้าที่ก้าวเดิน พร้อมที่จะเปลี่ยนโชคชะตา ขอเพียงเจ้าและข้าอยู่เคียงคู่ตลอดไป...#####  

เสียงวิหคเพลิงในเขตสัตว์วิเศษร้องกันระงม คล้ายจะแสดงความยินดีกับเจ้านายของมัน แต่ใครจะรู้ อีก 1 ปีข้างหน้า คำทำนายจะเป็นจริงหรือไม่....

                                                                                  จบภาคแรก...