วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วุ่นนัก...ที่รักผมเป็นหมอ(ฟัน) บทที่ 3

เฉินเหว่ยถิง = หมอเฉินเหว่ยถิง เป็นหมอฟัน เจ้าของคลินิกแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ชื่อ “ถิงหยาฉือ” 

                    อุปนิสัย-เงียบ สงบ เย็น ภูมิฐาน เป็นงานเป็นการ ความรู้แน่น  แต่บางทีก็สามารถขี้เล่นขึ้นมาได้
หลี่อี้เฟิง = ดาราดาวรุ่งสุดฮอตแห่งวงการ ถ่ายละครและหนัง คิวแน่นไม่หยุดหย่อน 
                   อุปนิสัย-ร่าเริง กินเก่ง ชอบกินขนม ของหวาน ลูกอม เค้ก ไอติม แต่กลัวเลือดมากที่สุด
 
บทที่ 3 "Sugar"

 
          วันนี้เป็นวันที่ผมอยู่ในกองถ่ายซีรี่ส์เรื่องล่าสุดครับ ดาราดังอย่างหลี่อี้เฟิง ถ่ายฉากยิงปืนในเรื่องผมว่าเท่ห์อย่าบอกใคร วันนี้ทั้งวัน ผมต้องกระโดดยิงปืน กลิ้งไปมา แล้วก็ทำให้หิวและกินๆๆๆ อีกอย่างที่ทำให้ผมกังวลนะ ผมต้องไปผ่าฟันคุดช่วงค่ำด้วย ที่ผมไปตรวจไว้เมื่อวันก่อน...
 
ผมไปหาหมอมาแล้ว ที่คลินิก ถิงหยาฉืออะไรเนี่ยะแหละครับ หมอที่คลินิกอ่ะ หน้าตาดีมากก็จริง แต่ว่าแฝงแววตาเจ้าเล่ห์และเหมือนเค้าจะชอบไล่ต้อนให้ผมจนมุม...ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมแค่กังวลหลายเรื่อง ขอกินขนมลูกอมบนโต๊ะนี้ให้หมดก่อน เข้าฉากต่อไปจะได้มีแรง แล้วค่อยคิดอีกทีว่าจะทำยังไงกับหมอถิงนั่น...
 
"อี้เฟิง พี่บอกแล้วว่าอย่ากินเยอะมาก กินแต่ขนม ทั้งนั้นเลยเนี่ยะ" ผจก.เจ๊เฉินจอมป่วนของผม ว่าผมเรื่องกินอีกแล้วครับ
"โธ่!!! เจ๊ครับ ผมกินแก้เครียด ดูสิ ผกก.จะมาสั่งสอนผมอีกแล้ว และไหนจะพวกตัวประกอบนั่นอีก ที่ทำเหมือนผมยิงปืนไม่ได้ เล่นไม่ดีตลอดอ่ะ"
 
 ยังไม่ทันที่ผมจะคุยอะไรกับเจ๊เฉินต่อ ผกก.เดินเข้ามาที่โต๊ะ วางบทลงบนโต๊ะอย่างแรง...ปังงงงงงงง

"อี้เฟิง ทำไมนายเล่นไม่ได้สักที ผมบอกแล้วนะว่าให้ซ้อมบทมาให้ดี นี่ผมให้คุณพักตั้งนาน เดี๋ยวถ้าเข้าฉากอีกรอบ แล้วยังเล่นไม่ได้ ผมขอพักกองด้วย หลายๆวันเลย ไม่ต้องทำมันแล้ว งงงานหน่ะ เข้าใจมั้ย"

ผกก.โกรธมาก โกรธที่ผมต่อบทไม่ได้ แล้วก็ท่าทางที่ผมทำไม่ได้ นี่แหละครับ คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่ในวันนี้ พอแย่ก็ต้องกิน มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น...

สุดท้ายแล้ววันนี้ผมก็เล่นบทสายสืบไม่ได้อีก นี่มันเป็นวันอะไรกันนะ!!! ผกก.สั่งให้ผมไม่ต้องมาเข้าฉากเพื่อไปฝึกยิงปืนก่อน อีก 3 วันค่อยมาใหม่ ระหว่างที่เรานั่งรถเพื่อไปยังคลินิก เจ๊เฉินบ่นผมตลอด ผมได้แต่เงียบ...

"อี้เฟิง ทำไมเป็นแบบนี้ ปกติเราก็ไม่เป็นแบบนี้นี่นา ทำไมถึงทำไม่ได้ฮะ เรียนก็เรียนมาแล้ว ทุกอย่างเจ๊ก็ส่งเข้าคอสไปฝึกมาหมดแล้วเนี่ยะ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็ต้องมาผ่าฟันคุด ตอนแรกเจ๊ก็ว่าจะขอผกก.พักพอดี ก็ไม่ต้องแล้วสินะ"

ผมยังคงเงียบ ในใจยังคงคิด ทำไมนะ ผมถึงเป็นแบบนี้ เวลามีเรื่องกังวลใจหลายๆอย่าง ผมมักจะแสดงไม่ได้แบบที่คิด มันทำให้ผมไม่มีสมาธิเลยจริงๆ ยิ่งตอนนี้ผมก็ต้องไปคลินิก ตั้งแต่เมื่อวานที่ไปจากร้านนี้ ใจผมก็อดคิดถึงหน้าหมอถิงไม่ได้เลย สีหน้าเค้าที่คุยกับผม ใบหน้าที่ดูดีนั่น แล้วก็วันนี้ผมต้องผ่าฟันคุดกับเค้า มันวนเวียนอยู่ตลอด...

จริงสินะ...ผ่าฟันคุด ผมไม่เคยผ่าเลย ผมกลัวเลือดมาแต่เด็ก เวลาผมล้มนะ พอมีเลือดออกเท่านั้น!!! ผมจะเป็นลมไปเลย 

นี่อีก...ทำให้วันนี้ผมแทบไม่อยากจะคิดว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง...

เมื่อมาถึงหน้าร้าน ผมจับแขนเจ๊เฉินไว้

"เจ๊เฉิน ผมกลัว...กลัวจริงๆนะ เจ๊ต้องดูแลผมนะ ตอนทำเสร็จแล้ว"

"เอาน่า เจ๊ก็ต้องดูเราอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ต้องกินเลยนะ ขนงขนมหน่ะ"

"เจ๊เฉินหน่ะ ผมบอกแล้วไง ว่าวันนี้ต้องผ่าฟันคุด ขอกินขนมเยอะๆก่อน"

"ไม่ได้สิ เดี๋ยวก็อ้วนกันพอดี ยิ่งช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ออกกำลังเหมือนแต่ก่อน"

ผมขี้เกียจเถียงต่อแล้ว เมื่อเราเปิดประตูเข้ามาในร้าน ผมเหนื่อย ผมอยากพัก 

@@@@@@@@@@@
@@@@@@@@@@@



พอผมต้องเดินเข้าไปเจอหมอ เชื่อไหมครับ ในห้องทำฟัน ผมร้องไห้!!!

ทั้งในระหว่างทำและหลังจากทำเสร็จ แปลกนะ ผมรู้สึกว่าหมอดีกับผมมาก เค้าเช็ดน้ำตาให้ผมด้วย...

ตอนทำถามว่าเจ็บไหม ผมก็ไม่รู้สึกอะไรนะ มันชา เพียงแต่ว่าผมคิดถึงแม่ขึ้นมา แล้วก็คิดถึงวัยเด็กที่สนุกสนาน วันนี้ทั้งวันผมโดนผกก.ว่าเยอะมาก ผมอยากกลับไปบ้านไม่ต้องคิดอะไร แต่ก็คงทำไม่ได้...

ตอนนี้ผมกลับมาถึงคอนโดแล้ว แต่ว่าๆๆๆ...เจ๊เฉินต้องกลับบ้านด่วนเพราะที่บ้านมีปัญหา

เหลือแต่ผมคนเดียวอีกแล้ว น้ำตามันพาลจะไหลออกมาอีก ในเวลาแบบนี้ แม่ก็ต้องดูแลผม ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฿.!.!฿แต่ตอนนี้ผมควรทำยังไงดี ตั้งแต่เป็นดารา ก็มีคนดูแลมาตลอด ตอนอยู่บ้าน ก็ไม่เคยต้องทำอะไรเอง...
 
ผมก้มลงมองเบอร์โทรศัพท์ที่หมอถิงให้ผมไว้ ความรู้สึกส่วนลึกในใจบอกว่า ผมชอบสายตาเค้าเวลาที่มองมาก และอยากให้เค้ามาดูแลผมจริงๆ 
 
ผมตัดสินใจส่งข้อความไป เค้าก็แกล้งผม แต่ยังไงเค้าก็มา มาดูแลผมอยู่ตรงหน้านี้แล้ว...
 
ผมรู้สึกได้ตอนเค้ากำลังเอาน้ำแข็งมาประคบ เค้าเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมได้กลิ่นจากตัวเค้า ทั้งกลิ่นน้ำหอมจางๆนั่น แววตา สีหน้าคำพูดที่ทั้งดูเป็นห่วงและอยากจะแกล้งผมไปพร้อมๆกัน เพียงแต่ผมเริ่มปวดแผล ผมเลยบอกเค้าไป...
 
ผมงอแงเหรอ เปล่านะ!!! ผมแค่อยากอ้อนเค้า ไม่รู้สิ มันก็ไม่เหมือนเวลาอยู่กับแม่หรอกนะ เพราะคนตรงหน้า ดูมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผมอยากอยู่ใกล้ๆเค้าได้...ผมว่านะ ผมชอบเค้าจริงๆแหละ :฿/฿/&&/&:฿&:
 
แต่ไม่ได้หรอก ดาราดังอย่างหลี่อี้เฟิง จะมาชอบหมอฟันคลินิกเล็กๆ แค่นี้เนี่ยะนะ!!! 
 
สักพักขณะที่ผมกำลังหลับตาและไม่กล้าจะมองหน้าเค้า พร้อมกับทบทวนตัวเองว่าทำไมอะไร ทำให้ผมชอบเค้า แค่ประคบน้ำแข็งที่แก้ม ใจผมต้องเต้นแรงและเร็วขึ้นด้วย...
 
...เค้าหอมแก้มผม!!! ผมว่าใช่นะ ผมลืมตามองเค้าแล้วถาม แต่เค้ากลับไม่ตอบ แล้วกลับออกไป...
 
เค้าไปแล้ว ทิ้งผมไว้กับความมึนงงและเริ่มปวดแผลนิดหน่อย ผมจึงประคบน้ำแข็งเองอีกสักพัก 
 
แต่นี่ผ้าเช็ดหน้าเค้า ห่อน้ำแข็งเอาไว้ เค้าทิ้งไว้ให้ผมเหรอ??? 
ผมคิดไปเองอีกแล้วสินะ ไม่ได้นะ หลี่อี้เฟิง นายไม่ควรไปชอบเค้า...
ดาราดังกับหมอฟัน ไม่เห็นจะเข้ากันเลยสักนิด
 
 
 ผมไปนอนดีกว่า จะได้ไม่บวมมาก...

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


ตื้ดๆๆๆๆ...เสียงข้อความดังขึ้นตอนเช้าตรู่

"คุณดาราดัง อย่าลืมกินยา และวันนี้ประคบน้ำอุ่นด้วยนะครับ แล้วจะหาว่าหมอไม่เตือน"
 
ผมอ่านจบก็พูดกับตัวเอง... 
 
"อะไรของเค้า ตกลงจะเป็นห่วงหรือว่าจะกวนกันแน่" ผมเลยส่งข้อความกลับไป
 
"ผมดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง อ้อ!!! ผ้าเช็ดหน้านี่ ผมจะเอาไปคืนตอนตัดไหมแล้วกันนะ ขอบคุณ"
 
ไม่มีข้อความกลับมา จริงๆผมไม่ได้อยากตอบแบบนี้หรอก 
ผมอยากให้เค้ามาดูผม อยากให้เค้ามาสั่งให้ผมกินยาอีก 
อยากให้เค้ามาทำหน้าขรึมๆใส่...เฮ้อ+++ ผมชอบเค้าจริงๆสินะ แค่วันสองวันเนี่ยนะหลี่อี้เฟิง...
 
 
วันนี้คิวทุกอย่างถูกแคลเซิล เจ๊เฉินบอกไว้ ผมเลยนอนต่อจนกระทั่งค่อนข้างสายมาก 
มีเสียงกดออดดัง คงเป็นเจ๊เฉินที่มาดูผม...
 
ผมเลยลุกออกไปทั้งชุดนอนและเดินไปเปิดประตู

"คุณดาราดังครับ ทำไมโทรมแบบนี้" เสียงคนตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาโดยที่ผมไม่คาดคิด

หมอถิงมาหาผม เป็นไปได้ยังไงเนี่ยะ

"คุณ...คุณหมอ มาได้ยังไงอ่ะ จะมาทำไมไม่บอกก่อน"

"ทำไม กลัวมีนักข่าวหรือกลัวผจก.ส่วนตัวคุณหรือไง ผมก็มาดูคุณไงล่ะ ว่าทำตามที่ผมบอกเป็นมั้ย"

"ผม เอ่อ...ยังไม่ได้อาบน้ำ แปรงฟันเลยนะ แล้วคุณไม่ต้องทำงานหรือไงครับ คุณหมอ"

"วันนี้ผมหยุดครับ ปกติผมหยุดวันเสาร์ มีน้องหมอคนอื่นมาอยู่ร้านแทนให้ ว่
าแต่คุณเถอะ จะต้อนรับแขกในสภาพนี้อีกนานไหมครับ ผมว่าไปแปรงฟันก่อนเลยนะ"
 
ผมอายมาก พอเค้าพูดแบบนี้เลยรีบกลับเข้าห้อง ทิ้งเค้าไว้ด้านนอก โดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเค้ากำลังทำอะไร ผมได้กลิ่นอาหารลอยมา เหมือนว่าจะเป็นข้าวต้มนะ...


 
ผมจึงใส่ชุดที่คิดว่าดูดีที่สุด แต่สบายๆ ตามสไตล์ที่ผมชอบ ออกมาจากห้อง...
 
มีข้าวต้มวางอยู่บนโต๊ะจริงๆ พร้อมกับยาและน้ำอย่างเรียบร้อย

 อีกฝ่ายนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา โดยที่ไม่พูดอะไร...
 
"นี่มันอะไรครับคุณหมอ???"
 
"เอ้า ข้าวต้มหมูไงครับคุณดารา อะไรกัน ปวดฟันคุดจนสมองได้รับการกระทบกระเทือนอะไรหรือเปล่า" 
 
หมอนี่ ทำไมถึงได้พูดจา กวนประสาทผมได้ตลอดเวลานะ แล้วเอาข้าวต้มมาให้ผมกินทำไม???
 
"ผมรู้อยู่แล้ว แค่ถามเพราะไม่แน่ใจว่าคุณหมอต้องการอะไร โอ้ย!!!"
 
"เห็นมั้ยล่ะ นี่เพิ่งผ่าฟันคุดไปวันแรก เค้ายังไม่ให้โกรธ หรือพูดมากนะครับ มันจะทำให้แผลเปิด คุณไม่ควรอ้าปากเยอะด้วย เข้าใจมั้ย แล้วข้าวต้มนั่นหน่ะ ผมซื้อมาฝาก เห็นในตู้เย็นคุณไม่มีอะไรกินเลย แล้วก็จะได้ทานยา"

 
ผมกินข้าวต้มที่เค้าซื้อมาแต่โดยดี อร่อยแฮะ!!! คงเป็นเพราะผมหิวด้วย ผมทานยาเสร็จ เลยตัดสินใจถามออกไป

"หมออ่านหนังสืออะไรหน่ะ???"
 
"ตำราแพทย์สมัยโบราณ พวกกดจุดอะไรแบบนี้ คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผมเอามาอ่านฆ่าเวลา ผมหน่ะ เปลี่ยนที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมจำได้ง่ายขึ้น ว่าแต่คุณเถอะ มานั่งนี่สิ ผมจะประคบน้ำอุ่นให้"
 
"ไม่ต้องหรอก ผมขอบคุณมาก คุณกลับไปเถอะ ผมสบายดี ทำเองได้ บอกแล้วไง ส่วนข้าวต้มนี่...เอ่ออออ"
 
หมอถิงวางหนังสือไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วเดินมาที่โต๊ะกินข้าวทันที...เอาแขนเท้าที่โต๊ะไว้ แล้วยืนหน้ามาใกล้ผมมาก
 
"ก็ผมมานี่ ผมจะมาดูคนไข้ของผม คุณอย่ามาดื้อกับหมอสิครับ"
 
 
 หน้าเค้ามาใกล้ผมเกินไปแล้ว...ผมเลยลุกขึ้น เดินเอาชามไปเก็บ แล้วรินน้ำมาให้เค้า เอาไปวางที่โซฟา

"แล้วหมอทานข้าวแล้วเหรอ คิดจะมาอ่านหนังสือที่นี่หรือยังไง ถ้าไม่มีธุระอะไร คนไข้คนนี้ดูแลตัวเองได้ครับ"

ผมยังไม่หยุดไล่เค้าออกไป ทำไมเหรอครับ ผมกลัวว่าผมจะชอบเค้ามากขึ้นเรื่อยๆหน่ะสิ

ตอนนี้เค้าเดินกลับมานั่งอ่านหนังสือต่อแล้ว  แต่ยังคงนิ่ง นั่งอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่ตอบอะไรผม

"หมอ ตกลงว่าไง ผมจะไปประคบน้ำร้อนนะ หมอก็กลับไปได้แล้ว" 
เค้าก็ไม่ตอบอีก ยังคงเอาหนังสือปิดหน้าไว้ จนผมเดินกลับเข้าไปในครัว 
พร้อมกับเอาผ้าชุบน้ำร้อน มาประคบที่หน้า ทำถูกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่ามันร้อนมาก!!!

ผมเลยร้องออกมา "โอ้ย!!! ร้อน!!!" 

ฉับพลัน!!! ก็มีมือใหญ่มาจากไหนไม่รู้ จับมือผมออกจากแก้ม พร้อมกับหยิบผ้าไป โดยที่มือเค้ายังจับข้อมือผมไว้อย่างแน่น จนผมเจ็บ

"โอ้ย หมอ ผมเจ็บนะ จะทำอะไรหน่ะ!!!"

"คุณหลี่อี้เฟิง คุณนี่มันยังไงนะ ประคบน้ำเย็นก็ไม่เป็น ประคบน้ำร้อนก็ไม่เป็นอีก แล้วยังอวดเก่งไล่หมอไป
จะเอาน้ำร้อนลวกแก้มหรือไง ดูสิเนี่ยะ แดงหมดแล้ว" 

หมอเอาผ้าวางไว้ที่เคาเตอร์ครัว เขยิบตัวเข้ามาใกล้ผม พร้อมกับเอามือลูบแก้มที่แดงเนื่องจากโดนน้ำร้อน...

ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ ดาราดังแบบผม ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับใครมาก จะชอบใครรักใคร ก็ถูกจับตามอง จะเข้าใกล้ใครก็อยู่ในสายตาคนอื่น...
แต่หมอนี่มาจากไหน เข้าใกล้ผมได้ขนาดนี้ แถมตอนนี้เราก็อยู่กันสองคนอีกต่างหาก

มือใหญ่นั่นยังคงลูบไล้ที่แก้มผม จนมาถึงปาก เค้าเอานิ้วโป้งไล้ที่ริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบา 
อืมมมม...มันดีจังเลย!!!

ผมจ้องตาเค้าเขม่งเลย...แต่ในใจนี่อ่อนยวบไปหมดแล้ว

แต่แล้วเค้าก็ผละออกจากตัวผม หันไปหยิบผ้า ชุบน้ำอุ่นที่เค้าผสมแล้ว บิดพอหมาดๆ พร้อมกับจูงผมออกมานั่งที่โซฟา

"ผมอ่านมาจากหนังสือ ถ้ากดที่ริมฝีปากล่าง จะทำให้คนพูดมากหยุดพูดได้นะ" เค้ายิ้ม ผมหันไปสบตาเค้า แล้วบอกว่า

"หมอหาว่าผมพูดมากเหรอ" ผมหันหน้าไปถามเค้า นี่คือเหตุผลที่เค้าทำแบบนั้นเหรอ มันใช่เหรอ???

"มา คุณหลี่อี้เฟิง ผมจะประคบน้ำร้อนให้ เค้าต้องทำแบบนี้นะ" 

ผมหันหน้าไปเพื่อให้เค้าประคบน้ำร้อนให้ แต่กลายเป็นว่า คนตัวใหญ่ตรงหน้าเอาปากมาประกบปากผมแทน 
ผมตกใจทำตาโต แต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร ก็มันหวานดีนี่นา คล้ายๆกับได้กินน้ำหวานเลยล่ะ เอาเลยเอาลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเค้ากลับ...

หมอถิง เอามือยกผ้ามาแปะที่แก้มขวาด้วย ดูดที่ลิ้นและริมฝีปากล่างของผมต่อไป สักพักนึงเค้าจึงปล่อยออก พร้อมกับมองหน้าผม...

"นี่คงไม่ใช่มาจากหนังสืออีกนะ" ผมถามเค้าก่อน

"คุณไม่ว่าผมเหรอ" เค้าถามในขณะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นใหม่ เพื่อมาประคบต่อ

"หมอทำแบบนี้กับคนไข้ทุกคนหรือเปล่าล่ะ" ผมถามเค้าออกไป คำตอบที่ได้กลับเป็น

"ชอบมั้ย ประคบร้อนแบบนี้" ใบหน้านิ่ง แต่แฝงด้วยแววตาอยากรู้นั่น มันทำให้ผมรู้สึกชอบมาก เวลาส่งสายตากับนางเอก ผมยังไม่รู้สึกแบบนี้เลย...

"ชอบสิ หวานอ่ะ หวานมากด้วย" ผมตอบไปตามตรง

หมอยิ้มน้อยๆ "คุณชอบกินของหวานสินะ" เค้ากำลังจะยื่นปากมาเพื่อประกบอีกรอบก็มีเสียงกดออดดังขึ้น

ผมตกใจ!!! ผละออกจากเค้าทันที

"สงสัยจะเป็นเจ๊เฉินมั้ง!!!" ผมบอกออกไป
 
 
                                                       ...โปรดติดตามตอนต่อไป....




















 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วุ่นนัก...ที่รักผมเป็นหมอ(ฟัน) บทที่ 1




เฉินเหว่ยถิง = หมอเฉินเหว่ยถิง เป็นหมอฟัน เจ้าของคลินิกแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ชื่อ “ถิงหยาฉือ”
                    อุปนิสัย-เงียบ สงบ เย็น ภูมิฐาน เป็นงานเป็นการ ความรู้แน่น 
หลี่อี้เฟิง = ดาราดาวรุ่งสุดฮอตแห่งวงการ ถ่ายละครและหนัง คิวแน่นไม่หยุดหย่อน 
                   อุปนิสัย-ร่าเริง กินเก่ง ชอบกินขนม ของหวาน ลูกอม เค้ก ไอติม 


 บทที่1 “Emergency case” 

            วันนี้เป็นวันถ่ายโฆษณารถฟอร์มูล่าวันครับ.....
จริงๆแล้วผมเป็นแบรนด์เอมบาสเดอร์ให้กับสิ่งของหลายแนว วันนี้จริงๆมันเป็นงานของนาฬิกาด้วย 
นาฬิกา Tag Heuer เป็นนาฬิกาที่ให้ผมใส่ตลอด ผมก็ชอบนะ เป็นพรีเซนเตอร์แบบนี้ก็ได้ทำอะไรหลายอย่างแถมได้ของใช้ด้วย 555
  อ้อ!!! ผมลืมแนะนำตัวไปครับ ผมหลี่อี้เฟิง เป็นดาราดาวรุ่งที่กำลังมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย แต่อะไรก็ไม่ทำให้ผมมีความสุขเท่ากับการเป็นพรีเซนเตอร์หรือถ่ายโฆษณาของกินเลย 555 ทำไมหน่ะเหรอ ก็ของกินที่เอามาเข้าฉากมันมักจะอร่อย ถูกใจผม จนบางทีต้องขอทีมงานเอากลับบ้านไปกินด้วย 


เอาล่ะครับ มาต่อกันที่งานโฆษณาวันนี้ ผมกำลังอยู่ในรถแข่งระดับโลก แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันอึดอัดครับ...
ผมรู้สึกว่าพักนี้ผมก็เริ่มจะอ้วนขึ้นบ้าง แต่ไม่เป็นไรนะ ก็ผมเหนื่อยนี่นา พอเหนื่อยก็ต้องกินเยอะเป็นธรรมดา จริงมั้ยครับ... ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมมีความสุขนะ ที่ได้เห็นแฟนๆมาดูกัน 

ผมชอบถูกถ่ายรูป ชอบอยู่หน้าแสงแฟลช มันทำให้ผมรู้สึกสำคัญ... 

เอาล่ะตอนนี้เสร็จงานแล้ว ผมก็เข้ามาเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัวเพื่อกลับไปพักที่คอนโด “เฟิงเฟิง เสร็จรึยัง เปลี่ยนชุดแค่นี้ทำไมนานขนาดนี้ พี่จะได้พากลับบ้าน” เสียงผู้ดูแลและผจก.ส่วนตัวผมถาม 

แต่ตอนนี้ผมเป็นไรไม่รู้ครับ จู่ๆมันก็รู้สึกปวดขึ้นมา เอ่อ ไม่ได้ปวดหนักหรือเบานะครับ...
ผมค่อยๆเอามือจับที่แก้มด้านขวา มันเหมือนจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกร้าวขึ้นไปที่หัว ผมก็พยายามจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จ แต่ความปวดทำไมมันเพิ่มขึ้นจนผมจะน้ำตาไหลแล้วล่ะ 

จริงๆก่อนหน้านี้ผมก็เคยปวดแบบนี้นะ แต่แป๊บๆมันก็หายไป แต่วันนี้มันไม่หาย นี่ผมก็รอว่าเมื่อไหร่มันจะหายปวด สงสัยต้องไปหายากินซะแล้ว... 
“เอ่อ เจ๊เฉิน ผมรู้สึกปวดตรงนี้อ่ะครับ ในปาก สงสัยจะปวดฟัน” 
“เอ้ย อะไรกัน จะมาปวดฟันอะไรตอนนี้ เอาไงดีล่ะ แถวนี้ก็ไม่ใช่ถิ่นพี่ซะด้วย เอางี้ เดี๋ยวพี่ถามสต๊าฟให้ว่าแถวนี้มีร้านหมอมั้ย ไปดูซะหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่ เดี๋ยวมาบวมแก้มโย้ ทำงานต่อไม่ได้จะแย่เอานะ” 

หลังจากนั้นผมก็แทบจะต้องเอามือกุมที่แก้มขวาตลอดเวลาที่ออกมาจากงาน ผมกินยาแก้ปวดไปแล้วนะ มันก็ดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกอยู่ดี 
เอาวะ!!!ไปให้หมอตรวจก่อน ผมก็หาหมอฟันประจำนะ แต่ว่าไม่ใช่แถวนี้ด้วยสิ แล้วหมอแถวนี้จะไว้ใจได้มั้ยเนี่ยะ 

ตอนนี้รถตู้มาจอดที่คลินิกหนึ่ง สภาพหน้าร้านดูเป็นระเบียบและดูดีนะ ก็ค่อนข้างเรียบ ไม่ได้หรูหราอะไร 

คลินิก "ถิงหยาฉือ" อะไรฟระ ชื่อคลินิกอะไรเนี่ยะ จะไหวป่ะ...

ตอนนี้ผมใส่แว่นตาดำเพื่ออำพรางใบหน้า ผมแค่กลัวมีคนมารุมผมตอนนี้ ผมไม่พร้อมที่จะยิ้มให้กับใคร ก็แหงแหละครับ ผมปวดฟันอยู่นะ

 “ไป เฟิงเฟิง เข้าไปหาที่นี่กันก่อน ตรวจก่อนเบื้องต้นแล้วกันนะ พี่ถามแล้ว ที่นี่ดีที่สุดในย่านนี้แล้วล่ะ ไม่งั้นเราต้องไปกันอีกไกลเลย ดีขึ้นบ้างมั้ยล่ะตอนนี้” 

“เจ๊เฉิน คลินิกนี้ดีแน่นะ ถิงหยาฉือ อะไรเนี่ยะ” 
“พี่ถามมาแล้ว ที่นี่เค้าบอกว่าหมออาจจะดุไปนิด แต่ว่าจริงๆแล้วทำดีมากเลย ทุกคนพูดเหมือนกันหมด อีกอย่างเราก็แค่ตรวจก่อน พี่แค่ไม่อยากให้มันบวมหรือเป็นอะไรมาก พรุ่งนี้เรายังมีงานอีก” 

หลังจากนั้นผมก็ใส่แว่นดำเดินตามเข้าไปในร้าน ภายในร้านขาวสะอาด มีกลิ่นแบบที่ร้านหมอทุกที่ต้องมี 
ไม่รู้สิ ได้กลิ่นแบบนี้ทีไร ผมล่ะอยากจะเดินออกไปทุกที...แต่มันช่วยไม่ได้ ก็ตอนนี้มันยังปวดอยู่เลย 

...ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว เหมือนร้านใกล้จะปิด เพราะเหมือนในร้านไม่มีคนเลย 
คนที่เดินสวนออกไปคงเป็นคนไข้สินะ เค้าไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าผมเป็นใคร 

“สวัสดีครับ ได้นัดไว้หรือเปล่า พอดีวันนี้หมอจะปิดร้านเร็ว ถ้าไม่เร่งด่วนมากรบกวนมาใหม่วันพรุ่งนี้ได้ไหม” 

ผมเห็นเค้าคุยกับผจก. ร้านนี้มีเคาร์เตอร์เป็นผู้ชายเหรอ แปลกดี แต่งตัวก็ดีนะ แถมใส่ผ้าปิดปากด้วย สงสัยคงจะกลัวเชื้อโรคมาก แต่ดูเหมือนผจก.จะต่อรองจนผมได้ตรวจจนได้ 

“โอเค งั้นแค่ตรวจดูเฉยๆใช่ไหมครับ ก็พอไหว งั้นเชิญคนไข้เข้ามาด้านในเลย เดี๋ยวหมอจะดูให้นะ ส่วนญาติให้รอด้านนอกนะครับ” 

ผมเดินเข้าไป ภายในแบ่งเป็นสองห้องย่อย ผมเข้าห้องแรกที่ติดกับเคาร์เตอร์ 
มีเสียงล้างเครื่องมือและพูดคุยดังมาจากด้านหลังร้าน ผมมองเข้าไปที่เตียงเชือด เอ้ย!!! มะใช่ เตียงนอนทำฟัน กลืนน้ำลายทีนึง 

โอ้ย!!! ปวดฟันขึ้นมาเลย จำใจต้องเดินเข้าไปนั่งที่เตียงนั่น แต่แปลกนะ เคาร์เตอร์คนนั้นก็เดินมานั่งด้วยที่เก้าอี้เหมือนทำท่าจะตรวจผม “คุณครับ ถอดแว่นด้วย แล้วพิงมา ผมจะได้ตรวจให้” 

“แล้วหมอละครับ ผมขอหมอตรวจสิ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่อย่างคุณ คุณรู้มั้ยว่าผมเป็นใคร?” ผมต้องขู่เค้าไปนิดนึงก่อน จะได้รู้ว่านี่เค้ากำลังจะตรวจดาราดังนะ ไม่ใช่อยู่ดีๆเป็นแค่เจ้าหน้าที่ในร้านจะมาตรวจผมได้ 

“เอ๊ะ จะเป็นใครก็เหมือนกันครับ ช่วยถอดแว่นออกด้วย ไม่งั้นจะตรวจได้ยังไง” 

“ก็ผมบอกแล้วว่า ขอให้หมอตรวจ แล้วผมก็ไม่ถอดจนกว่าคุณจะไปตามหมอมา” 

“งั้นผมขอโทษนะครับ” ว่าแล้วเค้าก็ยื่นมือมาถอดแว่นผมออก เฮ้ย!!! ไอ้บ้านี่อะไร ถือวิสาสะอะไรมาทำแบบนี้ 

“ก็ผมนี่แหละครับหมอ ผมหมอเฉินเหว่ยถิง รบกวนคุณช่วยพิงมาด้วยครับ จะตรวจรึเปล่า” 

อ้าว!!! นี่หมอเหรอ ก็ใครจะไปรู้ เห็นแต่งตัวดูดี แว่นก็ไม่ใส่ ปกติก็เห็นหมอใส่แว่นกันทั้งนั้น 

ผมเลยจำใจต้องนอนพิงที่เตียงทำฟัน ที่ถูกปรับนอนลง ตอนนี้ผมสบตาคู่นี้ตรงหน้า 
โอ้ย!!! นี่ผมเป็นอะไรหน่ะ ทำไมใจผมเต้นรัวเป็นกลองเลย ผมคงตื่นเต้นกับการตรวจฟันสินะ 
อย่า......อย่าเพิ่งคิดอะไร สงบใจก่อน 

“คุณครับ อ้าปากสิครับ ไม่งั้นหมอจะตรวจได้ยังไง ถ้าคุณมัวแต่จ้องหน้าหมอแบบนี้” 

“นี่หมอ ไม่รู้จักผมจริงๆเหรอ?” เวลาแบบนี้ผมยังพูดอะไรออกไป จะบ้าหรือเปล่า หลี่อี้เฟิง 

“ไม่รู้จักหรอกครับ คุณก็คือคนไข้คนนึง รบกวนคนไข้ อ้าปากด้วยนะครับ หมอจะได้ตรวจให้ แล้วตกลงนี่ปวดฟันจริงหรือเปล่าครับเนี่ยะ พูดได้ตลอดเวลา” 

 เฮ้ย!!! หมอนี่ยังไง ไม่รู้จักผม เป็นไปด้ายยยยยยย แล้วมาพูดจาแบบนี้ นี่มันหมอประเภทไหนเนี่ยะ

 “คุณครับ อ้าปากหน่อย ผมจะรีบตรวจจะได้บอกว่าเป็นอะไร เห็นแฟนคุณบอกว่า กลัวคุณจะเป็นอะไรมาก แก้มบวม สารพัดเหตุผล ทำให้ผมต้องปิดร้านช้าเลย” 

อะไรอีกเนี่ยะ เจ๊เฉิน ไม่ใช่แฟนผม อีตาหมอนี่ ไม่รู้เรื่องอะไรเล้ย ไปอยู่ไหนมาฟระ อ่ะๆ ตรวจๆจะได้จบๆไป 

ตอนนี้ก็เหมือนจะไม่ค่อยปวดแล้ว สงสัยฟันผมจะเป็นโรคกลัวหมอ 555 พอผมอ้าปาก หมอก็เอาเครื่องมือมาตรวจดูแล้วก็เอามือมาบีบที่เหงือกจนผมต้องบอกว่าเจ็บ 

แต่ระหว่างนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรนะ ผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากตัวหมอด้วยล่ะ รสนิยมดีไม่ใช่เล่นนะ... 

เสร็จแล้วเก้าอี้ถูกปรับขึ้น หมอให้ผู้ช่วยพาผมไปเอ๊กซเรย์ และพอผมกลับมา หมอถอดผ้าปิดปากออกแล้ว ทำให้เห็นใบหน้าทั้งหมด อืม หล่อใช้ได้เลยล่ะ.... 

“คุณหลี่อี้เฟิง คุณมีฟันคุดนะ ดูเหมือนจะมีอยู่ซี่เดียว แล้วก็มีฟันผุเล็กๆน้อยๆ ที่ไม่รีบด่วนอะไร แต่ฟันคุดนี่คุณควรเอาออกโดยเร็วนะ เพราะว่าตอนนี้รากมันก็ยาวเต็มที่แล้ว และดูเหมือนจะใกล้เส้นประสาทนิดหน่อย มันอาจทำได้ยาก ถ้าไม่ชำนาญพอ ผมอยากให้คุณนัดอีกทีว่าจะทำวันไหน เดี๋ยวลองไปดูตารางนัดด้านหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ผมจะให้ยาไปทานก่อนก็แล้วกัน โอเคมั้ย” 


ระหว่างที่ผมนั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้ทำฟัน ผมแทบไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ ตอนนี้มันไม่ค่อยปวดมากแล้วล่ะ ผมได้แต่มองปากได้รูปของหมอที่พูดๆ อธิบายแล้วก็ชี้ไปที่ฟิล์มใหญ่นั่นให้ผมฟัง 

ผมรู้แต่ว่าผมคงต้องนัดมาใหม่ พอหมอพูดจบ ผมกำลังจะลุกขึ้น.....


แต่แล้วมันก็หวิว ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย มัวแต่ปวดฟันจนลืมไปหมด วันนี้ก็โดนแต่แดดร้อนๆ 

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกได้ถึงลำแขนแข็งแรงก็เข้ามาโอบล้อมตัวผมไว้ ผมรู้สึกดีจัง 

“คุณหลี่ครับ เป็นอะไรรึเปล่า หน้าคุณซีดมาก นั่งก่อนนะ” 

เสร็จแล้วผมก็ต้องกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ทำฟันอีกรอบ คราวนี้เจ๊เฉินได้ยินเสียงดังมั้ง เลยเดินเข้ามา พร้อมกับร้องโวยวาย ผมยังหลับตาอยู่ได้ยินหมอพูดว่า

“เอางี้แล้วกันนะครับ นั่งพักก่อน แล้วก็คุณไปนัดเวลากับผู้ช่วยผมด้านนอก ถ้าคนไข้จะผ่าฟันคุดที่นี่ ส่วนคุณหลี่ผมจะดูแลให้ก่อน ไม่เป็นไรนะครับ คงแค่หน้ามืดเฉยๆ” 

เสร็จแล้วหมอก็เอาแอมโมเนียชุบสำลีมาให้ผม แล้วก็กระซิบข้างหูผมว่า “คุณคิดจะอ่อยหมอหรือไง แผนนี้น่ารักไม่ใช่เล่นนะ” 

เอ้ย!!! อะไรกันไอ้หมอนี่ ผมไม่ได้อ่อย ผมหิวข้าว ผมจะเป็นลม แต่ดูเหมือนผมกับเขาจะมีอะไรบางอย่างที่รู้สึกถึงกันได้นะ 

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมองหน้าหมอ “หมอหลงตัวเองชะมัด!!!” 

ผมพูดแค่นี้ หมอก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ไอ้ท่าทางขรึมๆก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมด ไหนเค้าบอกว่าหมอคนนี้ดุไง 

เสร็จแล้วเจ๊เฉินก็วิ่งกลับเข้ามา “เฟิงเฟิง จะผ่าที่นี่หรือจะกลับไปผ่าที่คลินิกประจำที่ปักกิ่ง แต่เรายังต้องอยู่เซียงไฮ้อีกหลายวัน แล้วอีกอย่าง อีกสองวันก็มีคิวว่างด้วย หลังจากนั้นเผื่อเราอยากพัก ตารางมันจะไม่แน่นมากแล้ว 
ว่าไงแต่ถ้ากลับปักกิ่งก็ได้นะ พี่จะพยายามหาวันให้” 

“ไม่เป็นไรเจ๊ ผมจะผ่าที่นี่ ไหนๆหมอคนนี้ก็ไม่รู้จักผม เค้าก็คงไม่เอาผมไปขายนักข่าว”
 “โอเค ตามนั้น” 

ผมหันกลับมามองหน้าหมอ ที่กลับมาทำหน้านิ่งตอนเจ๊เฉินวิ่งเข้ามา 

เอ๊ะ!!!พออยู่ต่อหน้าคนอื่นทำเป็นวางมาดนะ 

“อีก 2 วันเจอกันนะ คุณหลี่อี้เฟิง คุณเป็นเคสฉุกเฉินที่น่าสนใจจริงๆ” 

อะไรกัน!!! อีก 2 วัน ผมหลี่อี้เฟิง ดาราดังที่ต้องผ่าฟันคุดกะหมอหน้าหล่อที่ดูเจ้าเล่ห์คนนี้ จะเป็นยังไงกันนะ... 




                                                 โปรดติดตามตอนต่อไป...

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทส่งท้าย

Love me=>if you dare

บทส่งท้าย ฟินนาเล่ Finale

                   ผมหลี่อี้เฟิง คนจีนที่มารับจ้างเป็นไกด์ให้พี่ถิง หรือเฉินเหว่ยถิง มหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายของเก่า ของสะสมต่างๆ และตอนนี้ผมก็เป็นของเค้าทั้งตัวและหัวใจ 

แต่ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับผม ผมอยู่ที่ไหนอ่ะ...

ผมค่อยๆลืมตาเพื่อมองไปรอบๆ โอ้ยๆๆ ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาที่ท้ายทอย... 

พอผมลืมตา ภาพตรงหน้าคือคนคุ้นหน้าคนนึง 

“คุณอี้เฟิง คุณฟื้นแล้ว เฮ้อ!!! ค่อยโล่งใจหน่อย คุณเป็นยังไงบ้างครับ” 

 “เอ่อ...คุณต้าหลุน ผมเป็นอะไรไปครับ เกิดอะไรขึ้น แล้วพี่ถิงล่ะ ทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ” 

“คุณถูกพวกแก๊งค์ลักภาพขายของเก่าที่มีเรื่องกับเรานั่นแหละครับทำร้าย เพราะพวกมันต้องการจะมาชิงตัวคุณหยวนหน่ะครับ แต่คุณไม่ต้องห่วงนะครับ ตอนนี้ทุกคนปลอดภัย มีแต่คุณนี่แหละครับ ที่สลบไป ดีว่าคุณถิงกลับมาช่วยไว้ นี่พวกมันอุกอาจมากนะครับที่มาทำแบบนี้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟ ตอนนี้ทางตำรวจฝรั่งเศสเร่งจัดการอยู่ครับ” 

“เอ่อ...แล้วพี่ถิงล่ะครับ เค้าไปไหน เค้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ผมถามถึงคนที่อยากรู้ที่สุดว่าเค้าอยู่ที่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า  


“อ้อ คุณถิงตอนนี้ไปจัดการเรื่องดำเนินคดีครับ แล้วก็เจอคุณยื่อปาแล้วด้วย คุณถิงคงต้องดูแลเธอก่อนหน่ะครับ แต่ว่าสั่งให้ผมมาเฝ้าคุณไว้ ถ้าคุณฟื้นให้รีบโทรบอก ขอผมไปโทรบอกคุณถิงก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะเรียกหมอมาเช็คคุณอี้เฟิงอีกรอบด้วย” 

หลังจากนั้นผมก็ได้รับการตรวจ และให้รอดูอาการที่รพ.อีกคืน เพราะถูกตีที่ท้ายทอย หมออยากให้มั่นใจว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ 

ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวในห้องพักที่รพ. ต้าหลุนกลับไปแล้ว และบอกว่าจะมีพยาบาลมาเฝ้าผมแทน ต้าหลุนอธิบายว่ามีเรื่องทางโน้นให้ต้องจัดการเยอะ แถมผมได้รู้ข่าวอีกว่า ยื่อปามีปัญหาทางด้านสมองยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ.....

 ตอนนี้ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีแสงไฟสีเหลืองนวล ไม่สว่างมากนัก คงเพราะอยากให้คนไข้ได้พักผ่อน แต่ผมนอนไม่หลับหรอก ใครจะไปหลับได้ พี่ถิงเป็นยังไง ผมยังไม่รู้เลย ถึงเค้าจะไม่เป็นอะไร แต่เกิดเรื่องในบ้านเค้ามากขนาดนี้ ผมอยากไปอยู่ข้างๆเค้าจริงๆ...

 ตอนนี้มีสายน้ำเกลืออยู่ที่แขนผม หมอบอกว่าให้น้ำเกลือด้วย ผมจะได้ฟื้นตัวได้อย่างปกติ หมอว่าผมอ่อนแอไปหน่อย ก็แหม!!! ผมแทบไม่ได้นอนเลยนะ คิดไปคิดมา เรื่องพี่ถิงกับผมก็วนเวียนในหัวไม่หยุด ภาพความสุข หน้าพี่ถิงลอยไปมาจนผมอดคิดถึงเค้าไม่ได้... 

เค้าจะคิดถึงผมมั้ยนะ ไหนจะเด็กหยวนนั่นอีก แต่คงไม่เป็นอะไรแล้ว ดีนะ ที่ผมเข้าไปขวางไว้ทัน 

ตอนนี้ผมรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ เลยจำเป็นต้องเดินลากสายน้ำเกลือเข้าไปด้วย เพราะยังไม่เห็นพยาบาลที่ไหนโผล่มาเฝ้าผมสักคน ที่นี่ดูแลกันยังไงนะ!!! 

พอออกมาจากห้องน้ำ ผมกำลังจะกลับไปนอนที่เตียง แต่ว่าๆๆๆ...มีบางอย่างเคลื่อนไหว


 “พี่ถิงงงงง พี่มานอนตรงนี่ได้ยังไง นี่มันเตียงคนป่วยนะ” ผมดีใจมากที่เห็นเค้า แต่ทำไมเค้าดูเหนื่อยขนาดนี้เนี่ยะ 

“เฟิงเฟิง พี่ขอนอนก่อนนะ วันนี้เหนื่อยมาก ภาพโมนาลิซ่าอะไร ยังไม่ทันได้ดูเท่าไหร่ ก็มีแต่เรื่องเต็มไปหมด ที่พี่ต้องจัดการ กว่าจะแว่บจากหยวนหยวนออกมาได้อีก 

เฮ้อ!!! ทั้งๆที่พี่เป็นคนอุ้มเฟิงเฟิงมาส่งที่รถพยาบาลแท้ๆ แต่กลับตามมาดูเฟิงเฟิงไม่ได้ คิดถึงพี่มั้ย ขอกำลังใจหน่อยสิ” พี่ถิงดูอิดโรย แต่ก็ยังไม่วายลืมตามามองผมและทำหน้าทะเล้นใส่ 

“ตกลงใครป่วยกันแน่ครับ” ผมยิ้มและจ้องหน้าเค้า น่าสงสารจริงๆ

 “โธ่ พี่นี่แหละป่วยทั้งตัวและหัวใจ คนที่รักเค้า เค้าก็ไม่รัก ดูสิ ขอกำลังใจแค่นี้ก็ไม่ได้” 

คนตัวใหญ่ตรงหน้าเวลาพูดออกมาแต่ละคำ ลูกอ้อนมาเต็มไปหมด แบบนี้ใครจะทนไหวละครับ 
ผมนี่แทบอยากจะกระโดดไปกอดเค้าเลย แต่ที่นี่มันรพ.นะ!!! แถมผมก็มีสายน้ำเกลืออีกต่างหาก 

“พี่ถิงอยากนอนก็นอนพักได้นะครับ ผมไม่เป็นไรแล้วเดี๋ยวผมนั่งตรงเตียงเฝ้าไข้นี่ก็ได้” 

ผมกำลังจะหันหลังกลับไปนั่ง แต่มือใหญ่นั่นจับข้อมือผมไว้ ไม่ให้ไป...

 “อะไรกัน ตกลงไม่รักพี่แล้วจริงๆ ผ่านไปแค่วันเดียว โดนตีหัวที ลืมหมดทุกอย่างเลยเหรอ” 

ผมหันไปมองเค้า นี่ชักจะเป็นเด็กน้อยขึ้นทุกทีแระนะ พี่ถิงเนี่ยะ

 “พี่ถิง ที่นี่มันรพ.พยาบาลนะครับ เกิดพยาบาลเข้ามาเห็นเข้ามันจะไม่ดี มันไม่เกี่ยวกับที่ผมไม่รักพี่อะไรนั่นซะหน่อย ตกลงพี่เล่าให้ผมฟังดีกว่า ว่าตกลงวันนี้เกิดอะไรขึ้น” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง แต่จริงๆผมก็อยากรู้เรื่องด้วยนั่นแหละ 

“ไม่เอา ไม่เล่าหรอก จนกว่าเฟิงเฟิงจะให้กำลังใจพี่และตอบแทนในการมาเยี่ยมคนป่วยครั้งนี้ ส่วนพยาบาลอ่ะนะ พี่บอกเค้าแล้วว่าพี่จะเฝ้าเฟิงเฟิงเอง เค้าไม่เข้ามาหรอกน่า อีกอย่างพี่แค่ขอกำลังใจนิดๆหน่อยๆ เองนะ ไม่ต้องจัดเต็มแบบเมื่อคืนหรอก พี่ก็เหนื่อยเหมือนกัน 555555” 

พี่ถิงนะพี่ถิง ทำผมหน้าร้อนไปหมด ในเมื่ออ้างเหตุผลมาขนาดนี้ แล้วผมก็คิดถึงเค้าเหมือนกัน ผมเลยนั่งลงที่ข้างเตียงคนไข้ และก้มลงจูบปากเรียวได้รูปอีกครั้งอย่างแผ่วเบา...

พี่ถิงเอามือมาจับแก้มผมทั้งสองข้างและจูบตอบกลับอย่างไม่รอช้า ผมรู้สึกดีมากที่ได้รับจูบนี้อีกครั้ง 

พี่ถิงเอามือกอดผมไว้ ตอนนี้หน้าผมมาซุกอยู่กับอกเค้าโดยที่มืออีกข้างยังมีสายน้ำเกลือติดอยู่... 

“วันนี้พี่ได้เจอยื่อปาแล้ว เอาเป็นว่าเรื่องอื่นเฟิงเฟิงไม่ต้องรับรู้หรอกนะ เพราะเราต้องดำเนินคดีต่างๆอีกเยอะ จริงขโมยวันนั้นที่เราเจอที่ช็องเชลิเซ่ก็เกี่ยวด้วย แต่พี่ไม่อยากให้เราเข้ามาเกี่ยวข้องให้วุ่นวาย 
หลังจากนี้พี่ต้องพายื่อปากลับไปจีนเพื่อรักษาอาการและกลับไปจัดการเรื่องที่บ้านโดยด่วน คงต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ ถ้าพี่ทำธุระทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว พี่จะกลับมาหา เราสัญญากันแล้วนะ” 

ผมซุกหน้าไว้อย่างนั้นเป็นเวลานานมาก พรุ่งนี้เหรอ เราต้องจากกันแล้วจริงๆสินะ... 

ฮือ!!! ผมไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เลย “พี่ถิงไปจัดการเรื่องที่บ้านให้เรียบร้อยเถอะครับ ไม่ว่ายังไง ผมก็จะรอพี่อยู่ที่นี่”

 พี่ถิงดึงตัวผมขึ้นไปจูบอีกครั้ง มันช่างหวานและยาวนานมาก จนผมแทบหยุดหายใจ หลังจากนั้นเค้าก็กอดผมเอาไว้ตลอดทั้งคืน จนผมหลับไปตอนไหนไม่รู้... 

ตอนนี้เช้าแล้ว แดดแยงตาจนผมต้องตื่น ผมนอนหลับสนิทไป อาจจะเป็นเพราะมีฤทธิ์ยานอนหลับด้วย พี่ถิงไปตอนไหนทำไมผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ...

 พอผมลุกขึ้นมีพยาบาลเดินเข้ามาพอดี  “คุณอี้เฟิงคะ เดี๋ยวคุณหมอจะมาตรวจเช็คอีกครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็กลับบ้านได้นะคะ อ้อ!!!มีคนฝากของกับจดหมายนี่ไว้ให้คุณค่ะ” 

หลังจากนั้นพยาบาลก็เอาสายน้ำเกลือออกตรวจความเรียบร้อยแล้วเดินออกไป ผมจึงเปิดจดหมายออก พร้อมด้วยของที่เป็นกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆ ของหลุยส์วิคตอง...

“เฟิงเฟิง พี่ให้นะ ไม่รู้จะให้อะไรดี พี่ก็เป็นแบบนี้แหละ รักใครมากก็อยากให้ของเค้า
ก่อนหน้านี้ให้ไปครั้งนึง สุดท้ายเฟิงเฟิงก็เอามาคืนพี่ จำได้มั้ย ว่าพี่ขอเก็บค่ากระเป๋าด้วย 5555 
มันเป็นของเฟิงเฟิง ยังไงมันก็ต้องเป็นแบบนั้น  พี่เก็บค่ากระเป๋าเกินมาตั้งเยอะแล้ว พี่ให้ไว้แทนตัวพี่แล้วกัน เวลาเฟิงเฟิงเห็นจะได้นึกถึงพี่นะ หรือถ้าไม่พอใจที่ซื้อให้อีก พี่จะกลับมาเก็บค่ากระเป๋าล่ะ จำไว้...
เรามาเล่นเกมส์ Truth or Dare กันอีกรอบนะถ้าเฟิงเฟิงกล้าใช้มัน พี่จะกลับมา กล้ามั้ยล่ะ!!!

....................รักและต้องการเฟิงเฟิงมากกว่าใครในโลก........... 

พออ่านจบน้ำตาผมค่อยๆไหลออกมา มันเป็นน้ำตาแห่งความสุขและความคิดถึง แยกกันแค่ไม่กี่ชม. เค้ายังทำให้ผมคิดถึงได้ขนาดนี้ ผมเอาจดหมายและกระเป๋ามากอดไว้กับตัว ผมจะรอเค้าอยู่ที่นี่... 

                                                                            รอรัก...ที่ปารีส 
                                                                            
                                                                                      จบค่า....

วุ่นนัก...ที่รักผมเป็นหมอ(ฟัน) บทที่ 2


เฉินเหว่ยถิง = หมอเฉินเหว่ยถิง เป็นหมอฟัน เจ้าของคลินิกแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ชื่อ “ถิงหยาฉือ” 
                    อุปนิสัย-เงียบ สงบ เย็น ภูมิฐาน เป็นงานเป็นการ ความรู้แน่น  แต่บางทีก็สามารถขี้เล่นขึ้นมาได้
หลี่อี้เฟิง = ดาราดาวรุ่งสุดฮอตแห่งวงการ ถ่ายละครและหนัง คิวแน่นไม่หยุดหย่อน 
                   อุปนิสัย-ร่าเริง กินเก่ง ชอบกินขนม ของหวาน ลูกอม เค้ก ไอติม แต่กลัวเลือดมากที่สุด


บทที่ 2 "Follow up"

                  วันนี้ทั้งวัน ผมต้องทนฟังเสียงตื่นเต้นของเหล่าผู้ช่วยสาวที่รู้ว่า ผม"หมอเฉินเหว่ยถิง" มีเคสผ่าฟันคุด ดาราดังสุดหล่อ "หลี่อี้เฟิง" ผมหน่ะ ไม่รู้จักเค้าหรอกครับ ก็วันๆผมได้ดูทีวีที่ไหนกัน งานผมยุ่งมาก ทำงานเสร็จก็ต้องกลับบ้านไปดูแลแม่และหลานๆอีก ไหนจะต้องทบทวนความรู้ เพราะบางทีผมก็ต้องไปสอนให้โรงเรียนแพทย์ด้วย ผมหน่ะ เรียนเก่งนะครับ!!! ไม่ใช่หน้าตาดีอย่างเดียว 555555 ไม่ได้โม้นะ...

"หมอคะๆ วันนั้น พวกเราไม่เห็น อี้เฟิงเลย เค้าน่ารักมั้ย พวกหนูเห็นตอนเค้าเล่นละครนะ น่ารักมากเลย" 

เงียบ......

สักพักนึง....

"หมอถิงอ่ะ ไม่ยอมบอกเลยว่า อี้เฟิงเป็นยังไง วันนี้ขอหนูช่วยหมอนะคะ อยากดูดน้ำลายหลี่อี้เฟิง คริคริ!!!!"

นี่ล่ะครับ วันนี้ทั้งวัน ผมแทบไม่มีสมาธิ ก็ผู้ช่วยในร้าน ที่ปกติ สองสาวนี่ก็พูดมากอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งแย่งกันจะเข้าเคสช่วยผม สำหรับเคสพิเศษช่วงเย็น "ผ่าฟันคุด ดาราดัง หลี่อี้เฟิง"...

สำหรับผมหน่ะเหรอ ถามว่าตื่นเต้นมั้ย ไม่หรอกครับ แค่รู้สึกแปลกๆ....

มันท้าทาย แบบอยากเข้าไปศึกษาและอยากรู้ปฏิกิริยา ว่าคนแบบนี้เค้าเป็นยังไง ถ้าเจอคนแบบผม ผมเป็นหมอฟันก็จริง แต่ชอบเรียนรู้และศึกษาพฤติกรรมของคนด้วย สมัยเรียนปี1 ผมชอบเรียนจิตวิทยามากกว่าด้วยซ้ำ......

ผมผ่านอะไรมาเยอะครับ ชีวิตผมไม่ธรรมดานะ ตั้งแต่มัธยมจนมหาวิทยาลัย ถึงจะเป็นเด็กเรียน แต่ก็มีมุมเกเรบ้าง ไว้ผมจะค่อยๆเล่าให้ฟังนะครับ แต่เรื่องนึงที่ไม่เคยเป็นคือ ผมไม่เคยเจอดารากะเค้าหรอก ก็อยากรู้เหมือนกันว่าดาราดังโดนผ่าฟันคุดจะเป็นยังไง ผมเริ่มนึกสนุก อยากให้ถึงเวลานัดทุ่มนึงเร็วๆแล้วล่ะ...

@@@@@@@
@@@@@@@


"เจ๊เฉินหน่ะ ผมบอกแล้วไง ว่าวันนี้ผมต้องผ่าฟันคุด ขอกินขนมเยอะๆก่อน"

"ไม่ได้สิ เดี๋ยวก็อ้วนกันพอดี ยิ่งช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ออกกำลังเหมือนแต่ก่อนนะ"

ผมได้ยินเสียงถกเถียงกัน เมื่อประตูหน้าถูกเปิดเข้ามาพร้อมเสียงกระดิ่งที่ถูกแขวนไว้ เพื่อเป็นสัญญาณให้คนในห้องด้านในได้ยิน...

ผมยังทำคนไข้ก่อนหน้าอยู่ เพราะอีก 10 นาทีกว่าจะถึงเวลานัดเคสสุดท้าย....

.........พอเสร็จ ผมจึงให้ผู้ช่วยไปจัดการส่วนที่เหลือและบอกให้เค้าเรียก คนไข้เคสพิเศษของผมเข้ามา.........

พอเค้าเลื่อนประตูเข้ามาด้านใน

....ผมเห็นเค้าดูเหนื่อยนิดหน่อย แต่ท่าทางไม่ดูอวดดีน่าแกล้งเหมือนคราวก่อน ผมจึงตั้งใจทำขรึมๆใส่เค้า ที่เดินเข้ามาแบบไม่พูดไม่จา...

"ว่าไงครับ คุณหลี่อี้เฟิง เตรียมตัวพร้อมแล้วรึยัง เชิญนั่งที่เก้าอี้เลยครับ" ผมบอกให้เค้านั่งลง

"พร้อมก็ได้ครับ แต่หมอห้ามทำเจ็บนะ ห้ามบวม ห้ามปวดด้วย ผม...เอ่อ ผม ผมกลัว" 

คราวนี้เค้ามาคนละแบบเลยจริงๆ เสียงอ่อยมาก 5555 ผมแอบขำในใจ สีหน้าเหมือนแมวน้อยหวาดๆ นี่มันน่ารักชะมัด!!!!

เค้ามานั่งที่เก้าอี้ทำฟันแต่โดยดี ทำหน้าเหมือนงอแง จนเกือบจะร้องไห้ ผมแอบสงสารอยู่นะ แต่ผมต้องวางมาดขรึมไว้ก่อน

"คุณจะกลัวอะไร ผมจะพยายามให้เจ็บน้อยที่สุด แต่พูดจริงๆนะ ยังไงมันก็ต้องปวดต้องเจ็บบ้าง มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับที่จะไม่รู้สึกเลย" ผมต้องพูดความจริง ในขณะนั่งลงที่เก้าอี้ เพื่อเตรียมพร้อมจะปรับให้เค้านอนลง

"โธ่!!! หมอ ผม...ผมไม่เคยผ่าฟันคุดนี่นา ผมรู้ว่ามันจะต้องเจ็บบ้าง แต่ยังไงก็ตาม ผมขอให้หมอค่อยๆทำหน่อยได้มั้ย ผมขอร้อง"

สายตาแมวน้อยวิงวอนในขณะที่ผมกำลังจัดของที่ต้องใช้เพื่อเตรียมตัวจะผ่าฟันคุด ผมรู้สึกอยากแกล้งปนอยากช่วยให้เค้าสบายใจด้วย.......

@@@@@@@@@@@@ 

จริงๆ ด้วยความเป็นหมอ ผมไม่ควรทำแบบนี้ แต่ขอฝ่าฝืนจรรยาบรรณแพทย์สักวันเถอะ...

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เค้า แล้วไปกระซิบที่ข้างหูเค้าว่า
"ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะไม่ทำให้คุณเจ็บหรอก เชื่อผมสิ!!!" 

เสร็จแล้วผมกับเค้าก็สบตากันตรงๆ แปลกดีนะ ผมว่าดาราดังตรงหน้าผม หน้าแดงแหละ...เหมือนเค้าจะเขินผม นิ่งไปเลย 555 น่ารักอีกแล้ว 

ปกติผมก็มีคนมาชอบ บางทีไปชอบคนอื่นก็มี แต่ไม่มีคนไหน ทำให้ผมรู้สึกทั้งอยากแกล้งและอยากปลอบใจไปพร้อมกันแบบนี้เลย...ผมพูดอะไรผิดไปเหรอ เค้าถึงหันมาทำหน้าเขินและแดงใส่ผม 

คราวนี้ไม่ต้องรอให้ผมพูดต่อ เค้าพิงเก้าอี้มาแต่โดยดี แถมไม่พูดไม่จาอีกเลย...

ผู้ช่วยผมเดินกลับเข้ามาแล้ว ผมเลยเริ่มเอาผ้าปิดหน้าเค้าและใส่ยาชา ผ่าฟันคุดจนเสร็จ โดยไม่พูดอะไรมาก ส่วนขั้นตอนหน่ะเหรอครับ อย่าให้ผมบอกเลย...เคสพิเศษเนี่ยะ ยากพอควรเลยล่ะ เล่นเอาผมเหงื่อตกเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็เรียบร้อย ผมเย็บแผลไป แล้วก็บอกเค้าว่า

"เสร็จแล้วนะครับ คุณต้องรักษาความสะอาดด้วย เดี๋ยวผมเย็บแผล คุณต้องกลับมาตัดไหม อีกอาทิตย์นึงนะ ประคบน้ำแข็งคืนนี้ และดูแล แผลด้วย กัดผ้าไว้ก่อน แน่นๆนะครับ"

พอผมกำลังจะเปิดผ้า ผมให้ผู้ช่วยไปบอกการดูแลกับผจก.เค้าด้านนอก ผมรู้แล้วว่าเจ๊คนนี้เป็นผจก. ไม่ใช่แฟนเค้าเหมือนอย่างที่ผมเข้าใจ พวกผู้ช่วยผมนี่รู้ดีจริงๆ แถมหาว่าผมไม่รู้เรื่องอีก ที่ไม่รู้จัก!!!

พอเปิดผ้าขึ้น สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจนิดหน่อย...
"คุณอี้เฟิง คุณร้องไห้ทำไม????"

ผมรีบปรับเก้าอี้ขึ้น มองหน้าเค้า คราวนี้น้ำตาไหลออกมาอีก เฮ้ย!!! ผมว่าผมไม่ได้ทำเจ็บนะ ถึงจะยาก แต่ผมก็ทำเหมือนคนไข้คนอื่นๆ ไม่เห็นมีใครร้องไห้เลย แล้วนี่อะไรกัน...

เค้าส่ายหน้า ผมเห็นแล้วยังงงๆ ผมรีบล้างมือแล้วเอามือปาดน้ำตาเค้าทั้งสองข้าง พร้อมกับพูดว่า

"เด็กที่มาทำฟันกับผม ยังไม่ร้องไห้เลย คุณนี่ไหนคราวก่อนออกฤทธิ์เยอะ คราวนี้ไหงกลายเป็นแบบนี้ล่ะ"

เค้าไม่ได้ร้องแล้ว แต่ยกมือเช็ดคราบน้ำตาตัวเอง และพูดแบบไม่ค่อยชัดเพราะกัดผ้าอยู่

"หมอ...ไม่เข้าใจหรอก" 

ใช่สิ!!!  ผมไม่เข้าใจ เค้าจะร้องไห้ทำไม ถ้ามันไม่เจ็บ แต่มันทำให้ผมอยากรู้มากขึ้นไปอีก ผมทำอะไรไม่ถูกหลักวิชาหรือก็เปล่า...

ผมเลยตัดสินใจ เดินไปหยิบกระดาษมาจดๆๆ แล้ววางใส่มือเค้า บนกระดาษเขียนว่า

"หมอเฉินเหว่ยถิง เบอร์ส่วนตัว 01xxxxxxxx ถ้าคุยไม่ได้ก็ส่งข้อความมานะ แมวน้อย"

เค้าเงยหน้าขึ้นมองผมเมื่ออ่านจบ ผมอมยิ้ม แล้วเค้าก็เก็บกระดาษใส่กระเป๋ากางเกง แล้วเดินออกไป 

ผมได้ยินเสียงผจก.โวยวายๆ แต่เจ้าแมวน้อยนั่นเงียบจ๋อยไปเลย แหงล่ะสิ คงจะพูดไม่ได้เพราะกัดผ้าอยู่...

หลังจากเคสพิเศษออกไป ผมกับผู้ช่วยก็เก็บของ เก็บร้าน แต่ในใจผมยังคิดวนไปวนมา เค้าร้องไห้ทำไมนะ!!!

พอจัดการเรื่องบัญชีเสร็จ ผมก็เดินออกไปหาข้าวต้มรอบดึกกินสักหน่อย ผมยังไม่ยอมกลับบ้าน ไม่รู้สิ ผมรออะไร???

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างกินข้าวต้มหลายครั้งมาก และบอกกับตัวเองว่า นี่ชักจะบ้าใหญ่แระ!!!

ทำไมหน่ะเหรอครับ ก็ผมอยากให้เค้าโทร. หรือส่งข้อความอะไรมาก็ได้ ผมรู้สึกเป็นห่วง...ตลกดีนะ หมอฟันอย่างผม ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน...

แต่สักพัก ก็มีเสียงข้อความมา....ผมรีบเปิดอ่าน

"ประคบน้ำแข็งยังไง??? ทำไม่เป็น" นี่มัน!!! ข้อความแบบนี้ จะมาอ่อยผมอีกเหรอ คนอะไร โตจนป่านนี้ ประคบน้ำแข็งไม่เป็น ผมเลยกดส่งข้อความกลับไป

"อยู่ไหนล่ะ จะไปทำให้" อยากรู้เหมือนกัน ว่าเค้าจะตอบกลับว่ายังไงนะ

"ไม่ต้องหรอก บอกวิธีมา" นั่นแหน่ะ ยังจะมาไม้นี้ คิดว่าผมจะยอมเหรอ!!!

"ระวังบวมมากนะ ถ้าไม่ประคบ แล้วจะหาว่าหมอไม่เตือน" ผมต้องใช้มุขนี้แหละ เป็นดาราคงไม่อยากหน้าบวมหรอก...มั้ง 555 ถึงตอนนี้ ผมทั้งอยากเอาชนะ และอยากไปดูหน้าแมวน้อยจริงๆแล้วล่ะสิ คิดถึงภาพตอนร้องไห้นั่น มันยังติดอยู่ในใจผม...

และแล้วมุขนี้ก็ได้ผล ที่อยู่ถูกส่งข้อความมา ผมเลยจัดแจงบอกที่บ้านว่าจะกลับช้า ต้องบอกเค้าไว้จะได้ไม่เป็นห่วงกัน แต่ตอนนี้ใจผมมันแล่นไปถึงที่อยู่ในมือถือนี่แระล่ะ...

ผมมาหยุดอยู่หน้าห้อง ไม่รอช้า กดกริ่งเรียก เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตู พร้อมทั้งเอามือกุมที่คางด้านขวาเอาไว้

"หมอแกล้งผม" เค้าทำเสียงอู้อี้ลอดออกมาตามฟันที่กัดกันไว้

"อ้าว ผจก.คุณไม่ได้ดูแลคุณหรอกเหรอ" ผมแกล้งถามไปงั้นๆ ดูจากในห้องก็รู้ว่าเค้าอยู่คนเดียว

ที่จริงคอนโดนี่ค่อนข้างกว้างเลยล่ะ มีสัดส่วนในห้องชัดเจน ผมสำรวจรอบๆ แล้วมาหยุดมองหน้าแมวน้อยที่ทำหน้าเซื่องๆนั่นแล้วถามว่า

"ตู้เย็นอยู่ไหนครับ" เค้าชี้มือไปที่ห้องครัวด้านใน ผมจึงไปจัดแจงเอาน้ำแข็งใส่ผ้าเช็ดหน้าที่ผมพกติดตัวมา มันสะอาดและค่อนข้างหนา แต่ก็แปลกนะ ในตู้เย็นกลับไม่ค่อยมีของกินมากนัก มีแต่ยากับอาหารบำรุงนิดหน่อย ทั้งๆที่ตู้เย็นออกจะใหญ่

เรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินไปที่โซฟา เค้านั่งอยู่โดยเอามือกุมที่คางไว้ตลอด ผมจึงนั่งลงและถามเค้าว่า

"กินยาแก้ปวดที่หมอให้รึยัง?"

เค้าไม่พูด แต่ส่ายหน้า

"อะไรกัน ก็ผมบอกแล้ว ว่าให้กินเลยพอกลับถึงบ้าน ผมให้ผู้ช่วยสั่ง ผจก.คุณแล้วนะ"

"เจ๊เฉินมีเรื่องที่บ้าน ต้องรีบกลับด่วน หมอ...ผมเริ่มปวดอ่ะ" เค้าเปล่งเสียงลอดออกมาจากฟัน

ผมจึงเอายาและน้ำให้เค้ากิน โดยบอกว่า

"ไม่ต้องกลัวหรอก กินยาก่อน จะได้ดีขึ้น ก็ปกติแหละ อ่ะ เอาผ้าออกได้ คุณก็กัดมาจะชม.นึงแล้วนี่นา"

ผมให้เค้าอ้าปากและดึงผ้าก๊อซที่กัดไว้ออก ทีนี่เค้าคงพูดได้สะดวกขึ้น

"หมอ เลือดออกเยอะจัง!!! มันจะไม่เป็นไรใช่มั้ย" หน้าเค้ายังคงดูกังวลเมื่อมองก้อนเลือดที่ผมเอาทิ้งไป

ผมไม่ตอบอะไร ยื่นยาแก้ปวดที่ผมเป็นคนจ่ายให้เอามาให้เค้ากิน...

เค้ายอมกินยาแต่โดยดี เมื่อกินยาเสร็จ ผมจึงพูดต่อ

"โตจนป่านนี้แล้ว ประคบน้ำแข็งไม่เป็น นี่คุณเป็นดารายังไงกันฮึ" 

เค้ายังคงเงียบสักพัก แต่แล้วก็พูดขึ้นมา

"ก็มีคนทำให้ทุกอย่าง ถ้าหมอไม่อยากช่วยก็กลับไปเถอะ ผมกินยาแล้ว"

น้ำเสียงคนไข้คนนี้ดูเอาเรื่องไม่ใช่เล่น นี่ขนาดเริ่มปวดแล้วนะ...

"หันหน้ามาทางนี้" ผมบอก แต่เค้ายังคงหันหน้าไปทางตรงด้านหน้า ไม่หันมามองผม

"หมอบอกว่าให้หันหน้ามาทางนี้ไง" ผมเริ่มทำเสียงเข้ม...

เค้าก็ยังไม่หันอีก ผมเลยเอามือไปจับคางเค้าเบาๆ แล้วบังคับให้หันหน้ามา

เค้าก็ยอมมาตามมือผมแบบฝืนนิดๆ ผมเห็นน้ำตาเริ่มคลอๆ อีกแระ เอ๊ะๆๆๆ อะไรของเค้าเนี่ยะ!!!

"ผมเป็นหมอนะ ก็ต้องอยากดูคนไข้สิ ถ้าคุณไม่เชื่อผม แล้วคุณจะหายดีได้ยังไง"

"แก้มผมจะบวมมั้ย แล้วหมอจะช่วยให้ผมหายดีใช่ไหม??? ผมไม่ชอบเลือด ผมกลัว.....สนุกมากเหรอ ที่ได้แกล้งคนกลัวเลือดแบบนี้"

ผมฟังจบ ก็เอาผ้าที่มีน้ำแข็งอยู่เต็ม ประคบเข้าไปที่แก้มด้านขวาที่ผ่าฟันคุดไปอย่างเบามือ

ตอนนี้คนตรงหน้าผมหลับตาลงและดูไม่ต่อต้านมากแล้ว....ผมเลยขยับเข้าไปใกล้เค้าอีก แต่มือนึงยังจับคางเค้า และอีกมือก็ประคบน้ำแข็งไปเรื่อยๆ 


"คุณนี่แปลกดีนะ บางทีก็ดูเอาแต่ใจ บางทีก็อ่อนแอ น่าสงสาร บางทีก็ดูร่าเริง ผมไม่เข้าใจคุณจริงๆ คุณหลี่อี้เฟิง"

เค้ายังคงเงียบและหลับตาเพื่อให้ผมประคบน้ำแข็งต่อไป...

ผ่านไปสักพัก ผมว่าปากเจ่อๆของเค้า ทำไมมันถึงได้เย้ายวนใจ น่าจูบแบบนี้ แต่นี้เค้าเพิ่งผ่าฟันคุดไป คงจะเจ็บน่าดู แล้วยังจะแก้มที่ถูกความเย็น จนมีเลือดฝาด สีชมพู อวบอิ่มนั่นอีก....โอ้ยๆๆๆๆ.....นี่ผมคิดฟุ้งซ่านอะไรเนี่ยะ


สุดท้ายผมทนไม่ไหว เอาผ้าที่ประคบออก แล้วเอียงหน้าเอาปากไปประทับแก้มเย็นๆ ข้างนั้นเบาๆ 
ผมว่ามันน่าจะยังชาๆนะ ไม่รู้เค้าจะรู้ตัวมั้ยนะ...

"หมอ ทำอะไรหน่ะ!!!" เค้าร้องออกมา พร้อมกับเอามือจับที่แก้มขวา

ผมแกะมือเค้าออก แล้วเอาผ้าที่ใส่น้ำแข็งวางบนมือเค้า

"ไม่มีอะไรนี่ ประคบน้ำแข็งไง!!!! อ่ะ คุณประคบต่อนะ ทำแบบนี้ต่ออีกสักครึ่งชม.  แล้วก็นอนเถอะ ผมจะกลับแระ"

ไม่มีเสียงตอบอะไรจากอีกฝ่าย ผมแอบขำ...

"ไปนะ คุณหลี่อี้เฟิง ไว้ผมจะมาดูใหม่ มา follow up นะครับ" แล้วผมก็ลุกขึ้น ออกจากประตูห้องไป...



                         ...โปรดติดตามตอนต่อไป...





วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทที่ 6

PG-13 


บทที่ 6 โมนาลิซ่า Mona Lisa

                  .....ตอนนี้ผม หลี่อี้เฟิง ยังอยู่ในร่างเปลือยเปล่าในห้องน้ำ พร้อมกับพี่ถิง หรือเฉินเหว่ยถิง จูบแรก เจ้าของตัวและหัวใจของผมในตอนนี้ ผมมาเป็นไกด์ส่วนตัวให้เค้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอะไรๆ มันจะเกินเลยไปมากกว่าคำว่าไกด์ส่วนตัวแล้ว

พี่ถิงกำลังเอาผ้าเช็ดตัว เช็ดตัวให้ผม ที่กำลังยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดจา 
เมื่อได้ยินเค้าพูดว่า “หลังจากเราไปพิพิธภัณฑ์ลูฟแล้ว พี่ต้องกลับพร้อมลุงโจนาธานเลยนะ” 
จะให้ผมพูดอะไร ผมก็รู้อยู่แล้วว่าอีกไม่กี่วัน ทริปนี้ก็ต้องจบ เราสองคนก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี 
แถมตอนนี้ก็มีเด็กร้ายกาจ หวังหยวนอะไรนั่น มาประกาศศึกกับผมอีก ผมควรทำยังไงดีนะ... 

“เฟิงเฟิง เป็นอะไรไป อย่าเงียบแบบนี้สิ มีอะไรก็บอกออกมา” ตอนนี้พี่ถิงหยุดเช็ดตัวผมแล้ว เค้ายืนจ้องหน้าผม


 ผมไม่อยากมองหน้าเค้าจึงหันหลังให้ ตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุด ผมร้องไห้ สะอื้นเลย หลายๆอย่างมันอัดอั้น มันอึดอัดอยู่ข้างใน…T T 



“เฟิงเฟิง ไม่เอาสิ อย่าร้องไห้แบบนี้ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้ เราไม่ใช่หยวนหยวนนะ” 

พี่ถิงโอบกอดผมจากด้านหลัง เราสองคนแนบชิดกัน ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน 

“ผม...ผม ผมก็เป็นคนขี้แยแบบนี้แหละ พี่ไม่ต้องสนใจผมหรอก” ผมยังอยากประชดต่อไป 

“แหน่ะ เราพูดแบบนี้จะให้พี่ไม่สนใจได้ยังไง จะให้พี่เชื่อเหรอ ถ้าพี่ไม่มีเฟิงเฟิง แล้วพี่จะไปเที่ยวกับใครล่ะ 
เรายังอยู่ด้วยกันได้อีกวันนะ” พี่ถิงโอบผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ 


"พี่ก็ไปกับน้องหยวนสิ น้องเค้าออกจะอยากอยู่กับพี่” ผมคงน้อยใจสินะ เลยประชดต่อไปไม่หยุด 
แต่ยิ่งพูดก็เหมือนพี่ถิงจะพอใจ ตอนนี้เค้ายังคงกอดผม พร้อมกับเริ่มเอาปากซุกไซร้ที่ใบหูผมจากด้านหลัง 

“พูดแบบนี้ ยังหึงอยู่ใช่มั้ยเนี่ยะ ดีจัง แบบนี้ก็แสดงว่าเฟิงเฟิงหวงพี่สินะ” 

ตอนนี้เหมือนร่างกายของผมและเค้าเริ่มจะมีปฏิกิริยาอีกครั้ง...

ผมรู้สึกได้ถึงส่วนล่างของพี่ถิงที่เริ่มสอดส่ายมาหาทางสอดรับกับร่างกายของผม 

“พี่ถิง นี่พี่รักผมจริงๆ หรือเปล่า ผมอยากรู้แค่นี้” 
“เฟิงเฟิง จะต้องให้พี่พูดอีกกี่ครั้งฮะ เฟิงเฟิง อ่า......ทำไม พี่ถึงต้องการเราไม่หยุดเลย พี่รักเฟิงเฟิงขนาดนี้ ยังไม่พออีกเหรอ” 

ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงความต้องการของพี่ถิงจริงๆ เค้าดันผมเข้าหาตัวเค้าเป็นจังหวะที่เร็วและแรง 

ส่วนตัวผมตอนนี้เอามือลูบไล้แขนอันแข็งแรงนั้นไม่หยุดเพื่อตอบรับกับจังหวะทางด้านล่างที่เหมือนจะถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ พี่ถิงเริ่มดันผมให้เดินเข้าไปจนชิดกำแพง ผมเริ่มต้านทานไม่ไหวจนต้องเอามือยันที่กำแพง ตอนนี้เหมือนโลกหยุดหมุน ผมรู้สึกถึงพลังความต้องการที่ส่งเข้ามาอย่างมากมายและไม่หยุดเลยจริงๆ........ 

สักพักหนึ่งพอพี่ถิงเริ่มช้าและเบาลง เค้าเอาหน้ามาเกยที่ไหล่ผมไว้... 

“เฟิงเฟิง คืนนี้เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่พี่จะต้องกลับ พี่อยากบอกว่า พี่รักเราจริงๆ ไม่ใช่แค่ต้องการ อยากได้ แต่เป็นความรู้สึกที่พี่ไม่เคยเป็นกับใคร รู้ไหม” 


ผมเอ่ยตอบด้วยเสียงแหบพร่า เพราะเริ่มจะอ่อนแรง แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับเค้า 

“ผมก็รักพี่ ผมอยากให้พี่ต้องการผมแบบนี้ตลอดไป พี่กล้าสัญญาไหม ว่าจะกลับมาหาผมอีก” 
ผมยังคงไม่วายท้าทายเค้าด้วยคำพูดอีกแล้ว 

“นี่เรา กล้าท้าพี่อีกแล้วเหรอ ไม่ต้องท้าพี่ก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว สัญญาจริงๆ ว่าแต่สัญญาแล้วจะให้รางวัลอะไรตอบแทนมั้ยครับ เฟิงเฟิงคนกล้าของพี่” 

“พี่กล้าตอบแบบนี้ พี่มั่นใจนะ ถ้าพี่มั่นใจ ผมก็จะให้รางวัลกับพี่ถิง” 

“จริงๆนะ พี่ให้สัญญา ไม่ว่ายังไงพี่จะกลับมาหาเฟิงเฟิงแน่ๆ ไหน ขอดูรางวัลหน่อยสิ จะให้อะไรเหรอ? ถ้าถูกใจพี่จะรีบกลับมาเลยนะ” 

“แล้วพี่ก็ห้ามมีคนอื่นอีก พี่ต้องการคนอื่นอีกไม่ได้นะ ต้องมีผมคนเดียว ผมจะรอพี่อยู่ที่ปารีสนี่ เข้าใจมั้ย?” 

“เอาล่ะ!!! สัญญาด้วยเกียรติของพี่เลย พี่จะไม่มีใครอีก พอจัดการธุระเสร็จ ก็จะรีบกลับมาหาคนตรงหน้านี้ โอเคมั้ย ขอรางวัลด้วย น้าาาา เฟิงเฟิง” 

ตอนนี้ผม เริ่มหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง และคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้อีก ถึงคนตัวใหญ่นี่จะสัญญาแบบนี้ ก็ใช่ว่ามันจะเป็นไปได้เสมอไป 

ผมหันหน้ามาหาเค้า ตอนนี้เค้าเหงื่อออกท่วมตัว ยิ่งทำให้ร่างกายดูกำยำแข็งแรง สวยงามมากในสายตาผม 

ทั้งส่วนกล้ามหน้าอก กล้ามท้อง ทุกๆอย่างที่เป็นเค้า โดยเฉพาะส่วนล่างนั่น มันแทบจะทำให้ทุกคนสยบใต้เท้าเค้าเลยล่ะ...
ผมไล่มองให้ชัดทุกส่วน เพื่อจำภาพนี้เอาไว้ 

“ฮั่นแน่!!! เฟิงเฟิง ไหนล่ะรางวัล อย่ามาลวนลามพี่ด้วยสายตาแบบนี้นะ เดี๋ยวตาโตๆนี่จะหมดแรงมองนะ พี่จะบอกให้ ขอเตือนด้วยความหวังดี"

พี่ถิงก็ยังคงเป็นพี่ถิง ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เค้าก็ยังคงทะเล้นเบาๆได้ตลอดเวลา ผมคงคิดถึงเค้ามาก ถ้าเค้าไม่กลับมาหาผมอีก ผมคง..........ทนไม่ไหว... 

ดังนั้นคืนนี้ ผมจะให้เค้ามีความสุขที่สุด จะตอบแทนทุกๆอย่าง ความสุขในหลายๆวันที่เรามีด้วยกันมา ผมจะจดจำไว้ให้ดีที่สุดในชีวิต... 

“พี่อุ้มผมไปที่เตียงหน่อยได้มั้ย” ผมพูดออกไป โดยคนตรงหน้าทำหน้ายิ้มอย่างพอใจ 

“โหหหหหหหหหหหห รางวัลนี่เริ่มต้นด้วยคำนี้ พี่ชอบจัง” 

แล้วพี่ถิงก็อุ้มผมขึ้นได้อย่างสบาย เค้าดูมีเรี่ยวแรงและแข็งแรงจริงๆ นี่คืนนี้ผมจะเอาแรงที่ไหนไปสู้เค้าต่อเนี่ยะ แต่ไม่ได้หรอก ผมต้องทำให้เค้ามีความสุขและจำผมคนเดียวตลอดไป... 

เมื่อมาถึงที่เตียง พี่ถิงค่อยๆวางผมลงอย่างเบา แล้วเค้าก็คร่อมลงมาที่ตัวผม

 “ไม่ พี่ถิง นอนตรงนี้ต่างหาก” ผมค่อยๆผลักเค้าให้นอนหงาย ตอนนี้ผมเป็นฝ่ายคร่อมเค้าแทน 

แสงไฟจากตึกด้านนอกลอดเข้ามาบางส่วน เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มพอใจของพี่ถิง ที่ทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี 

จากนั้นผมจึงค่อยๆจูบ ไล้ลงมาจากแผงอก พร้อมกับขบเนื้อเบาๆไปเรื่อยๆ อย่างอ้อยอิ่ง ลงมาจนถึงเขตแดนส่วนล่างที่เป็นรอยสัก ที่ผมชอบมาก ผมระดมจูบที่รอยสักนั่น และขบกัดอย่างแผ่วเบาแต่ถี่ๆ จนพี่ถิงเอามือมาขยี้หัวผม พร้อมกับร้องว่า “เฟิงเฟิง อ่าาาาาาาา พี่ชอบรางวัลนี้จัง” 

เมื่อเห็นพี่ถิงพอใจ ผมจึงพุ่งตรงเข้าสู่เป้าหมายส่วนล่าง ใช้ปากอม พร้อมกับรูดขึ้นลงเป็นจังหวะ อย่างช้าๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าจะมีของเหลวใดๆไหลออกมาที่ปากผม แค่ผมเห็นเค้ามีความสุขและผมชอบผมพอใจที่จะทำให้ก็พอแล้ว..... 


คราวนี้คนตัวใหญ่ส่งเสียงร้อง...อ่าาาาาา ไม่หยุด และเอามือขยี้ผ้าปูเตียง...
ผมยังคงเอามือบีบเค้นต้นขาเค้าเป็นจังหวะไปด้วยกัน 

หลังจากนั้นสักพัก ผมพลิกตัวเค้าให้นอนคว่ำ คราวนี้เค้าทำตามเหมือนลิงตัวใหญ่ ที่อยู่ในโอวาสผมมาก ยินยอมพร้อมใจที่จะทำทุกอย่างตามที่ผมอยากให้เค้าทำ... 
ผมจึงไม่รอช้า ขึ้นคร่อมเค้าจากด้านหลังแล้วดันส่วนล่างของผมเข้าไปในตัวเค้าเป็นจังหวะอีกครั้ง ต่อเนื่องอย่างรวดเร็วและใช้กำลังทั้งหมดที่มี เพื่อให้เค้าจดจำผมได้ตลอดไป... 

คราวนี้มีเพียงเสียงหอบ หายใจถี่ๆที่ประสานกันจากสองคนที่พร้อมจะรับความสุขไปด้วยกัน...

เมื่อผมหมดแรง จึงนอนทับลงไปบนตัวพี่ถิง ที่ตอนนี้เหมือนลูกกระต่ายเชื่องๆไปแล้ว แต่เค้ายังคงมีแรงพูด “เฟิงเฟิง พี่ไม่อยากไปไหนเลย เราไม่ต้องไปลูฟแล้วได้มั้ย พี่อยากอยู่กับเฟิงเฟิงแบบนี้ตลอดไป” 


ผมไม่อยากจะบอกหรอกครับว่า คืนนั้น ผมและพี่ถิง แทบไมได้นอน เพราะเราสองคนผลัดกันรุกและรับตลอดคืน จนใกล้สว่างถึงได้หลับไป...

ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าผมไปเอาเรี่ยวแรงมาสู้เค้าจากไหนเหมือนกัน 


....แต่พอเช้า ผมลุกขึ้นก่อนเค้า จริงๆผมนอนไม่หลับเท่าไหร่ ผมจูบแก้มเค้าอีกครั้งก่อนจะไปหาอาหารเช้าแบบง่ายๆ ทอดไข่ดาว และแฮมกับเบคอน กับน้ำส้มอีกแก้ว อ้อ!!! กินไข่ลวกด้วยนะ จะได้บำรุงร่างกาย 

ผมได้ยินเสียงพี่ถิงอาบน้ำ และพอเค้าแต่งตัวออกมา พบอาหารตรงหน้า เค้าก็เข้ามากอดผมจากด้านหลัง ในขณะที่ผมกำลังเทน้ำส้มใส่แก้ว 

“โอ้ย พี่ถิง เดี๋ยวน้ำส้มหกครับ” 

“เฟิงเฟิง ทำไมน่ารักขนาดนี้ ขอหอมอีกทีนะ ถึงแม้จะช้ำไปทั้งตัวแล้วก็ตาม เราไม่ต้องไปดูภาพโมนาลิซ่ากันหรอก เฟิงเฟิงพี่น่ารักกว่าอีก” 

แล้วเค้าก็หอมแก้มผมอีกที เป็นอย่างที่เค้าบอกแหละครับ ถ้าผมเหมือนผลไม้ ตอนนี้ผมคงช้ำ น่วมไปหมดแล้วจริงๆ อิอิ... 

ผมหันไปจัด ผ้าพันคอเค้าให้เข้าที่ พร้อมกับบอกว่า “วันนี้พี่ห้ามกันผมออกมานะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมจะอยู่กับพี่ เข้าใจไหมครับ” 

หลังจากนั้นเราก็ยังจูบกันแบบอ้อยอิ่งอีกรอบ นี่ถ้าไม่ต้องไปไหนต่อ ผมก็อยากหยุดเวลาไว้แค่นี้จริงๆ

 ...แต่ก็คงไม่ง่ายขนาดนั้น หลังจากเราออกไปจากห้อง พอมาเจอลุงโจนาธานและเจ้าตัวแสบ หวังหยวน

 ผมก็เหมือนถูกกันออกจากพี่ถิงทันที หวังหยวนกอดแขนพี่ถิงตลอด และก็ชวนคุยนั่นนี่เรื่อยๆไม่หยุด แต่พี่ถิงก็ดูสนุกสนานและมีความสุขมาก เค้าหันมามองผมเป็นระยะๆ แต่ผมไม่เป็นไรแล้ว 

ผมสัญญากับตัวเอง อะไรที่ทำให้พี่ถิงมีความสุข ผมก็ยอมทั้งนั้น 

 ผมจึงคุยกับลุงโจนาธานไปเรื่อยๆ จนได้ข้อมูลว่า วันนี้เป็นวันที่พวกแก๊งค์ที่เคยขโมยภาพ โมนาลิซ่าไปจากพิพิธภัณฑ์ลูฟคราวก่อน นัดลุงและพี่ถิงมาเจรจา 

เนื่องจากลุงเคยบอกตำรวจและให้ข้อมูลไป ทำให้ภาพโมนาลิซ่านี้ได้รับการค้นหาจนพบ ทำให้ตอนนี้เมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ จะเห็นการล้อมกรอบและใส่ระบบกันขโมยที่ภาพอย่างแน่นหนา... 

และด้วยความแค้น พวกแก๊งค์นี้ถึงกับลักพาน้องสาวของพี่ถิงมา นั่นก็คือ"ยื่อปา"
เพื่อให้ลุงและพี่ถิง มอบเงินค่าไถ่และชดเชยให้พวกมัน 
ในฐานะที่เหมือนกับหักหลังพวกมันนั่นเอง....


เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟ ที่นี่กว้างใหญ่มาก แต่ดูเหมือนการมาเที่ยวครั้งนี้จะไม่ใช่การมาเที่ยวธรรมดา 

“นี่ พี่หน้าแมว เมื่อคืนพี่ไปทำอะไรมา ทำไมถึงได้ดูโทรมขนาดนี้ คงจะคิดที่ผมพูดมากล่ะสิ 555"

หวังหยวนเสียงดังขึ้นมาเมื่ออยู่ในพิพิธภัณฑ์และพี่ถิงได้แยกไปกับลุงโจนาธานเพื่อหาเบาะแสจุดนัดพบ ปล่อยผมไว้ให้ดูแลเด็กแสบนี่ 

“ผมบอกไว้เลยนะ ว่าอะไรก็ตามที่พี่ถิงทำให้พี่ เค้าก็เคยทำให้ผมมาแล้วทั้งนั้น อย่าคิดว่าผมสู้พี่ไมได้” 

อะไรกัน!!! ที่หวังหยวนพูดมันคืออะไร ทำไมต้องมาพูดอะไรแบบนี้ มันทำให้ผมคิดมากนะ แต่ผมไม่ยอมหรอก

“ที่พี่ถิงทำให้แปลว่าอะไร แต่จริงๆพี่ไมได้สนใจหรอกนะ พี่สนใจแต่ว่า พี่ทำอะไรให้พี่ถิงได้มากกว่า” 

ผมรู้สึกว่าผมเหนือกว่าเด็กคนนี้ ยังไงผมก็ต้องเหนือกว่า ผมต้องมั่นใจในตัวเองสิ...

แต่ยังไม่ทันที่จะเถียงอะไรกันต่อ หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาเหมือนจะพุ่งตรงเข้ามาที่ตัวหวังหยวน 
ผมเลยเข้าไปขวางไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนผมไม่รู้ว่าอะไร เหมือนมีของแข็งบางอย่างทุบลงมาที่ท้ายทอยผม ทำให้ผมต้องล้มลง หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย..... 





                              ....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

รอรัก...ที่ปารีส บทที่ 5

Love me=>if you dare

บทที่ 5 enchante อองชองเต ยินดีที่ได้รู้จัก


ตอนนี้ผม "หลี่อี้เฟิง" ผู้ทำหน้าที่ไกด์ส่วนตัวให้ชาวจีนผู้อยากมาเที่ยวปารีส กำลังอยู่ในอ้อมแขนข้างหนึ่งของเศรษฐีหนุ่ม "เฉินเหว่ยถิง" ที่ดูสีหน้ามีเรื่องหนักใจ หลังจากวางโทรศัพท์จากเลขาคนสนิท ต้าหลุน...

"เป็นไรไปครับพี่ ผมได้ยินเหมือนพรุ่งนี้พี่ต้องไปเจอใครที่พิพิธภัณฑ์ลูฟ" 
ผมกล้าถามออกไปเลยเพราะอยู่ในอ้อมกอดพี่ถิง จะไม่ได้ยินที่เขาคุยได้ยังไงกัน

"ใช่ พรุ่งนี้เฟิงเฟิงพาพี่ไปพิพิธภัณฑ์ลูฟหน่อยนะ พี่มีเรื่องต้องจัดการที่นั่น"
เขากระชับแขนเข้ามาพร้อมเอามือเอามือสอดประสานที่มือผม
"เฟิงเฟิง ถ้าพี่เป็นอะไรไป เฟิงเฟิงจะทำยังไง"

ผมตกใจมากที่เค้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา ผมหันหน้ามาประจันหน้าเค้า
"พี่ถิง ทำไมพี่พูดแบบนี้ ผมไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เมื่อไหร่พี่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้ผมฟังซะที
ผมไม่สำคัญกับพี่เลยใช่ไหมครับ"

ผมเสียใจ เสียใจจริงนะ นี่ผมรักเค้าแล้วแท้ๆ แล้วทำไมเค้าถึงพูดแบบนี้
ผมจึงตะโกนเป็นภาษาฝรั่งเศสออกไปบอกคนขับเรือ เพื่อให้เอาเรือจอดท่าที่ใกล้ที่สุดที่เราจะกลับโรงแรมกันได้

ผมลุกขึ้น พยายามจะแกะมือออกจากมือใหญ่นั่น
"เฟิงเฟิง ทำอะไร จะไปไหน ฟังพี่ก่อนสิ"

ตอนนี้เราสองคนยืนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงอยู่ในแม่น้ำแซนด์
"พี่ถิง ถ้าพี่ไม่บอกว่าเกิดเรื่องอะไร ผมจะไม่อยู่กับพี่แล้วนะ"
ตอนนี้ผมเซไปเซมา เริ่มยกมือขึ้นจะปัดป้องเค้าออกจากผม ก็ผมอยากรู้นี่นา ว่าเป็นอะไร ทำไมเค้าถึงจะต้องเกิดเรื่องร้าย แล้วตกลง ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ถิงไปทำอะไรมากันแน่...

ผมทำท่าจะเดินแบบโงนเงนไปมาบนเรือ ออกมาจากเค้า แต่พี่ถิงดึงผมไปกอดไว้
"ก็ได้ พี่จะเล่าให้ฟัง เฟิงเฟิงรักพี่ไม่ใช่เหรอ เราเป็นของพี่แล้วนะ จะหนีพี่ไปไหนได้ยังไง นายนี่กล้าต่อรองกับพี่ตลอดเลยนะ"

เขากอดผมไว้แน่น พร้อมกับเล่าเรื่องตั้งแต่ที่มาอยู่กับลุง จนพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งตัวพี่ถิงเชื่อว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ครอบครัวลุงโจนาธาน เป็นญาติห่างๆกัน แต่เค้าชวนครอบครัวพี่ถิงมาทำธุรกิจค้าของเก่าหรือของหายากข้ามชาติ จนทำให้เกิดปัญหากับพ่อค้าหลายคน หรือบางทีก็มีเรื่องกับพวกค้าของเถื่อนบ้างเหมือนกัน พี่ถิงบอกว่าจริงๆแล้ว ลุงโจนาธานไม่ได้ทำผิดกฎหมายนะ เพียงแต่ไปพัวพันกับเรื่องที่เสี่ยงบ้างเท่านั้นเอง แต่นั่นก็ทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โต และที่พี่เค้ามาที่นี่เพื่อตามหาน้องสาว ชื่อยื่อปา ที่ถูกพวกแก๊งค์ที่ขโมยของจากพิพิธภัณฑ์ลูฟลักพาตัวไป...

จริงๆ ระหว่างที่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ผมเริ่มเข้าใจปัญหาที่พี่เค้าต้องเผชิญ เพราะบางที นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับงานของแก๊งค์มาเฟียเลยนะ ที่บอกมา เราเดินกันมาเรื่อยๆ ตามเส้นทางเดิม คือถนนช็องเชลิเซ่ คราวนี้ผมบีบมือเค้าแน่น เป็นเชิงให้กำลังใจ ว่าไม่ว่ายังไงเค้าก็ยังมีผมนะ

"เฟิงเฟิง พรุ่งนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟ ต้าหลุนบอกพี่ว่า เราน่าจะได้เบาะแสเรื่องยื่อปา ซึ่งนั่นก็หมายความว่า อาจจะมีฝ่ายตรงข้ามที่จ้องทำร้ายพี่อยู่ด้วย พี่อยากให้เราส่งพี่ไว้ แล้วก็กลับไปซะ เข้าใจมั้ย ถ้าพี่เสร็จธุระแล้ว จะโทรไปบอก"

"ไม่ ผมไม่ไป พี่พูดแบบนี้ จะให้ผมออกมาได้ยังไงครับ"

"เอ๊ะ เรานี่ยังไง ตอนแรกก็บอกจะทิ้งพี่ พอมาตอนนี้พี่บอกให้ไป กลับบอกจะอยู่"

"ก็...ก็ผมอยากอยู่กับพี่ นะครับ พี่อย่าให้ผมไปไหนเลย เผื่อผมจะช่วยอะไรได้"

"เอางี้นะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน แต่คืนนี้ ช่วยพี่ได้แน่ๆ" พูดเสร็จ เค้าก็โอบเอวผมไว้

พอเราเข้ามาถึงที่ห้องในโรงแรม มันน่าแปลกที่ไฟถูกเปิด และทีวีก็ถูกเปิดทิ้งไว้  เราสองคนยืนอยู่กลางห้องด้วยความงง

"เอ!!! ก็ไหนต้าหลุนบอกว่าจะไปเตรียมความพร้อมใกล้ๆพิพิธภัณฑ์ลูฟไงล่ะ ทำไมกลับมาก่อน"

ตอนนั้นผมยังไม่ทันได้ทำอะไร จู่ๆก็มีเด็กผู้ชายตัวขาว สูงไม่มากเท่าไหร่คนนึง พุ่งออกมาจากทางห้องครัว แล้วก็มากระโดดโอบเอวจากด้านหลังพี่ถิง พร้อมกับเอาหน้าซุกที่หลังเค้า แล้วก็พูดว่า

"เย้ๆ เฮียกลับมาแล้ว หยวนคิดถึงนะ" เอ๊ะๆๆๆๆ @_@ นี่มันใครกันนะ ทำไมเข้ามาแบบนี้ แล้วมากอดพี่ถิง แถมพูดแบบนี้อีก มันแปลว่าอะไร

พี่ถิงหันไปยกเด็กชายตรงหน้าจนตัวลอยแล้วก็มาวางทางด้านหน้าได้อย่างง่ายดาย เขาดูสนิทสนมกันมาก ทำไมนะ!!! ทำไมผมถึงรู้สึกเจ็บนิดๆที่หน้าอก พี่ถิงเอามือขยี้ผมคนตรงหน้าด้วยท่าทางเอ็นดู
"เอ้ย หยวน น้องมาได้ยังไง แสดงว่าลุงโจนาธานมาถึงแล้วเหรอ"

"ใช่สิเฮีย ป๊า พักอยู่ห้องข้างๆ แต่ผมขอกุญแจสำรองเข้ามา คืนนี้ผมขอนอนด้วยนะ ไม่ได้เจอเฮียตั้งหลายอาทิตย์แล้ว คิดถึงจะแย่"

"อะไรกันเรา จะมานอนกับเฮียไม่ได้หรอก เราต้องไปอยู่กับลุงโน่น"
เด็กชายตรงหน้า คราวนี้กอดพี่ถิงจากด้านหน้าอีก แล้วเอาหน้าซุกไซ้ที่ท้องเขา
"ไม่เอาๆๆ นะเฮียนะ ผมอยากนอนคุยกับเฮีย แล้วนี่ใครอ่ะเฮีย ผู้ชายหน้าแมวนี่เป็นใคร?"

ดูดู๊ดู เด็กคนนี้ หันหน้ามามองผมพร้อมกอดพี่ถิงไปด้วย เหมือนผมจะไปแย่งของรักของเค้ามา

"หยวนหยวน เรานี่นะ พูดจาแบบนี้ ได้มาจากใครนะ สงสัยจะเป็นเฮีย 555 นี่พี่เฟิง เค้ามาเป็นไกด์ให้พี่ เค้าเป็นคนจีนนะ แต่พูดฝรั่งเศสได้ ถ้าไม่อยากอดตายที่นี่ก็ต้องอยู่กับพี่เค้านี่แหละ"

เด็กชายหยวน หันหน้ามา พร้อมจับแขนพี่ถิงมาพาดไหล่เอาไว้ แล้วทำหน้าท้าทายผมนะ ผมรู้สึกได้

"สวัสดีฮะ นีฮ่าว พี่หน้าแมว พี่ลืมภาษาจีนรึยัง นี่ฮ่าวแปลว่าสวัสดี ผมหวังหยวน เป็นน้องชายที่รักของเฮียถิง"

"เอ๊ะ อะไรกัน เรานี่ เฮียบอกว่าให้เรียกพี่เฟิง ยังจะเรียกพี่หน้าแมวอยู่ได้ ถึงพี่เค้าจะหน้าเหมือนแมวก็เถอะ 555555555555"

เอาเข้าไป พี่น้องคู่นี้ พี่ถิงก็พลอยเป็นไปกับเค้าด้วย ไหนเมื่อกี้ยังดูรันทด เหงา บอกว่ามีแค่ลุงโจนาธานคนเดียวไงล่ะ แล้วนี่อะไร ท่าทางสนิทสนมขนาดนี้ ผมกลายเป็นส่วนเกินสินะ

"ก็ได้ พี่เฟิง ไหน ผมขอจับมือแบบฝรั่งทักทายกันหน่อยนะฮะ"
เด็กหยวนนี่มาขอจับมือผม ดูเป็นเด็กท้าทายไม่ใช่เล่น เขาบีบมือผมด้วย ผมรู้เลยว่าเหมือนเค้าต้องการประกาศสงครามกับผมสินะ

"เฟิงเฟิง นี่หวังหยวน เค้าเป็นลูกเลี้ยงของลุงโจนาธานหน่ะ เด็กคนนี้ออกจะดื้อไปสักหน่อย อย่าไปถือสาเลยนะ ถูกคนตามใจจนเสียนิสัย เดี๋ยวพี่เข้าไปหยิบของในห้องก่อน แล้วพี่ต้องไปคุยกับลุงก่อน เดี๋ยวพี่กลับมานะ"

ว่าแล้วพี่ถิงก็เดินหายกลับเข้าไปในห้องตัวเอง เอาล่ะสิ!!! ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเด็กตัวขาว หน้าตายียวนนี่...
ผมยังไม่ทันพูดอะไร หวังหยวนก็นั่งลงที่โซฟา พร้อมกับเอาขาพาดไปที่โต๊ะ แล้ววางโทรศัพท์บนโต๊ะ เหมือนตั้งใจให้ผมเห็น

"พี่เฟิง เฮียถิงอยู่กับผมมาตลอด ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมาแย่งพี่ถิงไปหรอกนะ"

ผมมองไปที่หน้าน้องเค้า แล้วไล่มาตามขา ที่พาดขวางหน้าทางเดินตรงหน้าผมอยู่ พอมองไปที่โทรศัพท์ หน้าจอเป็นรูปพี่ถิงเดี่ยวเต็มจอมาก เหมือนเค้าจะต้องการให้ผมเห็น!!!

"อองชองเต" ผมพูดเสร็จ ก็วางโทรศัพท์ผมลงไปข้างๆโทรศํพท์น้องเค้าบ้าง พร้อมกับให้เห็นภาพหน้าจอที่ผมเซ็ตไว้ เป็นภาพเซลฟี่แบบแก้มแนบแก้มของผมกับพี่ถิงพอดี ก็เอาสิ ให้มันรู้กันไป!!!

ทันใดนั้น น้องหยวนหดขาลง ก้มมองที่โทรศัพท์ หยิบขึ้นมาดู แล้วกำลังจะคว้างออกไป

ผมจับมือเค้าไว้แล้วก้มลงกระซิบที่หูเค้า

"คิดจะสู้พี่เหรอ ไม่มีทางหรอกนะน้องหยวนนนนน" พร้อมกับหยิบโทรศัพท์จากมือหยวนเอามาไว้กับตัว "อ้อ เมื่อกี้ อองชองเต เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จักนะ รู้ไว้นะครับ"

น้องหยวนนี่เอาเรื่องไม่ใช่เล่น เขาเหมือนจะเถียงอะไรผม เลยลุกขึ้น พอน้องเค้ายืนขึ้นอยู่หน้าผม ตัวก็สูงพอใช้ได้เหมือนกันนะ

ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร พี่ถิงก็ออกมาจากห้อง พร้อมกับบอกว่า
"เฟิงเฟิงรอก่อนนะ หยวนหยวน มานี่ ไป ไปหาลุงโจนาธานกัน"

อีกฝ่ายหันหน้ามายิ้มให้แบบเหนือกว่า พร้อมกับไปกอดแขนพี่ถิงไว้ แล้วก็เดินตามกันไป

หลังจากนั้นผม พยายามสะกดอารมณ์โมโห พร้อมกับท่องบทสวดมนต์ให้ใจสงบ เด็กคนนี้พยายามจะเอาชนะผมสินะ แต่ผมไม่ยอมหรอก บอกไว้เลย

ผมเลยไปอาบน้ำให้หัวโล่งๆ ใจจะได้สบาย นอนแช่ในอ่างอาบน้ำของโรงแรม เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน วันนี้เจออะไรมาเยอะ ทั้งเรื่องที่พี่ถิงเล่า ทั้งไอ้เจ้าเด็กหวังหยวนนี่อีก อะไรกันนักหนานะ

ผมหลับตาไปพร้อมกับความอุ่นสบายกำลังดีของน้ำ กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็มีความรู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างขนาดใหญ่ลงมาอยู่ในอ่างด้วย...

ผมลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องประหลาดใจ เฮ้ย!!! พี่ถิง เค้ามาได้ยังไง ทำไมถึงได้เงียบขนาดนี้ เค้านอนลงเอาหัวพาดขอบอ่างอีกฝั่ง หลังตาแล้วยิ้ม

"พี่ถิง พี่มาได้ยังไง ทำไมผมไม่ได้ยินอะไรเลยล่ะ"

เขาไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มอย่างเดียว

"พี่ถิง ผมพูดกับพี่นะครับ ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ เอาแต่ยิ้มอยู่ได้"

"ก็พี่ขำ คนขี้หึงหน่ะสิ 555 มีรูปเซลฟี่ในอ่างน้ำก็ดีนะเฟิงเฟิง เอามั้ย เรามาถ่ายกัน" คราวนี้พี่ถิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม

"อะไรล่ะ ก็ไปอยู่กับน้องหยวนสิ มาสนใจผมทำไม" ผมดันเค้าออกไปให้ห่างตัว

"ฮั่นแน่ คนขี้หึง หึงได้แม้กระทั่งเด็กอายุ 15" พี่ถิงยังคงยื่นหน้าเข้ามา

"ผมเปล่า ผมไม่ได้หึง ก็น้องหยวนเค้าบอกว่า  พี่อยู่กับเค้ามาตลอด เค้ามาแล้วพี่ก็ไปอยู่กับน้องเค้าสิ"

"โอ้ย เฟิงเฟิง พี่กับน้องหยวน เราก็สนิทกันแบบพี่น้อง เล่นกันแบบเตะต่อย พี่ก็สอนเค้าเต้น เล่นบาส เหมือนน้องชายนั่นแหละ นี่ยังบอกว่าไม่ได้หึงนะ"

"จะไปรู้เหรอ ก็น้องเค้าไม่อยากให้ผมอยู่กับพี่นี่นา" ผมพูดพร้อมเอามือผลักพี่ถิงออกไป กลายเป็นว่าตอนนี้มือผมสัมผัสกับแผงอกของเค้า แล้วผมลืมไปได้ยังไง ตอนนี้ผมกับเค้าก็เปลื่อยเปล่าอยู่ในอ่างน้ำนี่สินะ

พี่ถิงเอามือมาจับที่ข้อมือผมไว้ทั้งสองข้าง เค้ากดมือซ้ายของผมเข้ากับหน้าอกอย่างแรงขึ้น

"เฟิงเฟิง ใจพี่ตอนนี้มีแต่เฟิงเฟิงนะ จะให้พี่บอกอีกกี่ครั้งว่า ตั้งแต่วันแรกที่พี่จูบเรา เกมส์นั่นก็ทำให้พี่ประทับใจและมาถึงตอนนี้ ก็มีแต่เราเท่านั้น ที่ทำให้พี่ไม่อยากไปไหน อยากอยู่ปารีสตลอดไปเลย"

หลังจากนั้นพี่ถิงก็ค่อยๆ เอาหน้าเข้ามาใกล้ จนจูบที่ปากได้สำเร็จ เค้าเอาลิ้นค่อยๆเคลื่อนไหว สัมผัสทุกส่วนในปากผม ตอนนี้น้ำในอ่างเหมือนจะเพิ่มความร้อนขึ้นเล็กน้อย ผมเอามือลูบไล้แผงอกนั่นอย่างชื่นชม ผมรักในแผงอกนี้ รักคนตรงหน้านี้จริงๆ

คราวนี้พี่ถิงยกขาผม พาดบ่าเค้า จนผมต้องงอตัวเข้าหาเค้าเล็กน้อย เราขยับเข้าหากันและกัน ท่ามกลางฟองสบู่และน้ำที่ล้อมรอบเรา พี่ถิงยังคงรุกไล่ผม ไม่หยุด จนผมเอาหัวค่อยๆนอนพาดที่ขอบอ่าง แล้วเอามือป้ายแปะ ไม่เป็นที่ไปข้างๆฝา อย่างฉุดอารมณ์ไม่อยู่

อ๊าาาาาาาา!!!! พี่ถิงๆๆ ผมๆๆๆ ซี๊ดดดดดดดดดดดดด

พี่ถิงยังคงซุกไซร้ส่วนคอและใบหูของผมไม่หยุด เหมือนเค้ากระหายจะกลืนผมเข้าไปทั้งตัว ผมแทบจะละลายไปกับน้ำในอ่างแล้ว

"เฟิงเฟิง เฟิงเฟิง ไม่ต้องสนใจใครนะ เราเป็นของพี่ พี่ก็จะเป็นของเราเท่านั้น เข้าใจมั้ย"

ผมพยักหน้าเสร็จก็เอามือไปจับแก้มเค้าทั้งสองข้าง พร้อมกับบอกว่า "พี่ก็เป็นของผม ตั้งแต่วันที่ผมเลือก Dare แล้ว รู้ใช่มั้ย พี่ห้ามไปไหนนะ"

พอผมพูดจบ พี่ถิงและผมยังคงคลอเคลีย สลับกับรุกเร้าในอ่างนั้นอีกสักพักใหญ่ พอผมกำลังจะลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัว

พี่ถิงลุกขึ้นก่อนผม หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วก็มาเช็ดตัวให้
"หลังจากเราไปพิพิธภัณฑ์ลูฟท์แล้ว พี่ต้องกลับพร้อมลุงโจนาธานเลยนะ"

ผมเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้าเค้าที่ยังคงเช็ดตัวผมไปเรื่อยๆ


                                                           โปรดติดตามตอนต่อไป...